สังคม

'จุลพันธ์' เผยความพร้อมแจกเงินหมื่น ชี้ให้กลุ่มเปราะบางก่อน เฟสแรกเริ่ม 25 ก.ย.นี้ ยันเฟส 2 ไม่ล่มแน่

โดย panwilai_c

13 ก.ย. 2567

587 views

การอภิปรายนโยบายรัฐบาลวันที่ 2 ช่วงเช้าบรรยากาศค่อนข้างเงียบ เนื่องจากการอภิปรายวันแรกใช้เวลาไปกว่า 15 ชั่วโมง ส่วนเนื้อหาหลักๆของวันนี้ ทางพรรคฝ่ายค้านและสว.ได้ลุกขึ้นมาอภิปรายในหลายประเด็นที่ไม่ชัดเจน และไม่บรรจุใน 10 นโยบายสำคัญเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงไปเมื่อวาน เช่นปัญหาแรงงาน ปัญหาค่าแรงขั้นต่ำและคุณภาพการศึกษา



การประชุมร่วมรัฐสภา เพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาลวันที่ 2 มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ในการประชุม



บรรยากาศช่วงเช้าเป็นไปด้วยความเงียบเหงา มีสมาชิกมาร่วมประชุมบางตาทุกพรรคการเมือง เนื่องจากเมื่อวานนี้พักการประชุมในช่วงดึกแล้ว ส่วนใหญ่เป็น สส. สว. ที่มาประชุมเป็นสมาชิกที่มีคิวอภิปรายในช่วงเช้า เดินทางมาเตรียมตัว



โดยฝ่ายค้านและ สว. สลับกันขึ้นอภิปราย ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ นโยบายด้านแรงงาน การศึกษา สาธารณสุข และประเด็นด้านสังคม



เช่นนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงนโยบายของรัฐบาลว่าไม่มีเรื่องแรงงาน ใน 10 นโยบายเร่งด่วน แต่ตอนที่หาเสียงนโยบายแรงงานเป็นนโยบายเรือธง ที่พรรคเพื่อไทย เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนเอาไว้ พร้อมยกสโลแกนที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้คือรดน้ำที่ราก เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท



เงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 25,000 บาท 1 ครอบครัว 1 ซอฟเพาเวอร์ สร้างงานใหม่กว่า 20 ล้านตำแหน่ง ส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เป็นต้น นายเซีย ยังเปิดข้อมูล โรงงานปิดตัวไป 1,519 แห่ง และถูกเลิกจ้าง จากการปิดโรงงานไปทั้งสิ้น 41,103 คน นี่ไม่ใช่การบริหารงานที่ควรเป็น



ขณะที่ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน อภิปรายในประเด็นเดียวกันถึงการพัฒนาฝีมือแรงงานรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรม EV อุตสาหกรรม Semi-conductor และในส่วนของอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ที่พูด กว้างๆ เรื่องวัฒนธรรมโดยยังไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักว่าจะเน้นด้านไหน



สะท้อนไปยังนโยบายของรัฐบาล คือแผนการพัฒนาแรงงานของรัฐบาลนั้นขาดแผนที่ชัดเจน ขาด Master plan ทำให้การพัฒนานั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้ ตามเป้าหมายใหญ่โตที่พูด



ทางด้านนางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่า นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลเขียนมา 10 ข้อ ไม่มีเรื่องการศึกษาเลย แต่ใช้ถ้อยคำหรูหราที่ใส่ไว้ในนโยบาย ทั้งเรื่องการพัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น เน้นทักษะใช้ประโยชน์ได้จริง ส่งเสริมการปลดล็อคศักยภาพ เฟ้นหาและช่วยเหลือเด็กที่หลุดจากระบบ ถ้อยคำเหล่านี้จะมีความหมาย ถ้าเข้าใจความสำคัญของการศึกษาอย่างลึกซึ้ง



นางสาวนันทนา ย้ำว่า การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่มากเกี่ยวกับทุกคน และอนาคตของชาติ

ดังนั้น การดำเนินการจะต้องทำแบบบูรณาการ วางทิศทางแก้กฎหมาย จัดระบบงบประมาณ บุคลากร และการทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการระดับสูง ว่าด้วยการปฏิรูปการศึกษาไทย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วยตนเอง



ส่วนความคืบหน้าโครงการดิจิทัลหมื่นบาท ล่าสุด ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ออกมาแถลงความพร้อมและขั้นตอนการแจกเงินเฟสแรก เป็นเงินสดให้กับ 2 กลุ่มเปราะบางก่อน คือกลุ่มผู้พิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะใช้วิธีการเรียงลำดับตามเลขท้ายบัตรประจำตัวประชาชน



นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง ความคืบหน้าใน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่ารัฐบาลมีความพร้อมเรื่องงบประมาณ ซึ่งมีงบเพิ่มเติมจากปี 2567 อยู่ 122,000 ล้านบาท รวมกับการใช้งบกลางบางส่วน รวมแล้ว 145,000 ล้านบาทเศษ และในปี 2568 อีกประมาณ 187,000 ล้านบาทเศษ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางก่อน



ซึ่งงบปี 2567 จะปรับมาดูแลกลุ่มเปราะบาง คือ กลุ่มผู้พิการ 2.1 ล้านคน ซึ่งผูกบัญชีกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือพม.แล้ว ซึ่งเมื่อเริ่มดำเนินการจ่ายเงินสดทั้งหมดจะถูกโอนเข้าบัญชี ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.5 ล้านคน โดยจะนำข้อมูลทั้งสองกลุ่มนี้มา พิจารณาร่วมกันโดยไม่ให้มีชื่อซ้ำกัน จะได้ 14.5 ล้านคน ขณะเดียวกันในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ประมาณกว่า 1 ล้านคน ที่จำเป็นจะต้องผูกกับบัญชีพร้อมเพย์ ซึ่งสามารถดำเนินการได้สะดวกที่ตู้เอทีเอ็มหรือติดต่อธนาคาร เพื่อผูกบัญชี



ทั้งนี้จะเริ่มจ่ายเงินในวันที่ 25 กันยายนนี้เป็นต้นไป ระยะเวลา 4 วัน ซึ่งวันแรกในการจ่ายเงินจะเป็นกลุ่มเป็นกลุ่มผู้พิการ และกลุ่ม ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขท้ายบัตรประชาชน ลงท้ายด้วยเลข 0



วันที่ 26 กันยายน จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 1 - 3 / 27 กันยายน จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลข 4 - 7 และในวันสุดท้ายคือ 30 กันยายน เป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 8-9



นายจุลพันธ์​ ยังระบุ​ถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด​ในโครงการว่า​ รัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน อย่างการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาหรือ​ สว.​ ก็เห็นว่ามีการร้องไห้ ว่าอยากจะให้เป็นเงินสด เพราะเข้าถึงได้ง่าย คนใช้ก็ง่ายขึ้น ผู้สูงอายุอะไรก็ตาม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาบอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ มันรอไม่ได้ จึงเดินหน้าในการปรับส่วนนี้ เพื่อที่จะให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว



ทั้งนี้นายจุลพันธ์ บอกว่า จะปิดการลงทะเบียน ในวันที่ 15 กันยายนนี้ ในกลุ่มที่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งยอดปัจจุบันอยู่ที่ 32 ล้านคนเศษ แต่ยังจะไม่ลงทะเบียนในกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนต่อทันที เพราะอยากจะให้การจ่ายเงินในกลุ่มแรกจบก่อน ส่วนจะเปิดลงทะเบียนเมื่อไหร่นั้นจะชี้แจงอีกครั้ง



ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าประชาชนที่ลงทะเบียนในเฟส 2 จะไม่ได้รับเงิน 10,000 บาทแล้ว นั้น นายจุลพันธ์กล่าวว่า เป็นการวิเคราะห์ที่ผิด ยืนยันว่าได้และไม่ถูกลอยแพแน่นอน เพราะมีเงินมาแล้ว แต่ไม่สามารถบอกเวลาในการแจกเงินได้อย่างชัดเจน

คุณอาจสนใจ