ปปป.จ่อเสนอ ปปง.ยึดทรัพย์ 'ศรีสุวรรณ' หลังตรวจสอบเส้นทางเงิน พบทรัพย์สินหลายรายการได้มาไม่ถูกต้อง

คดีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา และพวกถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว มีความคืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะนอกจากจะมุ่งไปที่การรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อมัดตัวในการกระทำความผิดแล้ว ตำรวจกำลังสืบทรัพย์ของผู้ต้องหาทุกคน ว่ามีอะไรในครอบครองบ้าง เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ ฐานฟอกเงิน



วันนี้ ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ได้เรียกประชุมชุดพนักงานสอบสวนวงเล็ก เพื่อวางแนวทางการสืบสวนขยายผล รวมถึงการสอบทรัพย์สิน เพื่อเตรียมเสนอ ปปง. อายัดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหา ตามความผิดมูลฐานการฟอกเงิน หลังจากตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วพบว่าทรัพย์สินหลายรายการได้มาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะของนายศรีสุวรรณ จรรยา ที่พบว่า มีทรัพย์สินทั้งบ้าน 5-6 หลัง มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่ำ 15 ล้านบาท โฉนดที่ดิน และของสะสม เช่น พระเครื่อง งาช้าง เขาสัตว์ เฟอร์นิเจอร์ และทรัพย์สินที่มีนับ 100 รายการ



นอกจากนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ยังได้เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังรอเอกสารคำสั่งแต่งตั้ง และปลด ผู้ต้องหาอย่างน้อย 1 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะพทำงานตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกรัฐมนตรี หากสุดท้ายไม่นำมามอบให้ ตำรวจเตรียมออกหมายเรียกเอกสารต่อไป



ส่วนการขยายผลไปยังผู้เสียหายวงอื่นๆ พบว่า ขณะนี้ มีกลุ่มผู้ต้องหาที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายทั้งหมด 11 วง และมีที่จ่ายเงินไปสำเร็จแล้ว 4-5 วง โดยจะต้องรอความชัดเจนว่าผู้เสียหายประสงค์แจ้งความหรือไม่



วันเดียวกันนี้ พนักงานสอบสวน ยังได้เรียกเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ หนึ่งในนั้นคือ นายโอวาท ยิ่งลาภ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางมาพร้อมกับเอกสาร 2 แฟ้มใหญ่ ซึ่งนายโอวาท คือข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถูกนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ พาดพิงว่า เป็นผู้นำข้อมูลการทุจริตของกรมการข้าว ไปส่งให้นายเอกลักษณ์ วารีชล ผู้ต้องหาคดีตบทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามถึงเรื่องที่ถูกพาดพิง นายโอวาท ระบุว่า วันนี้มายื่นเอกสารชี้แจงให้กับทาง ปปป. ซึ่งเป็นเอกสารแชทไลน์ที่ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการของนายศรีสุวรรณใดๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่า ตนไม่ได้เป็นคนนำข้อมูลไปให้กับขบวนการตบทรัพย์



ส่วนความสัมพันธ์กับนายเอกลักษณ์ ยอมรับว่า รู้จักกัน เพราะเรียนสถาบันเดียวกัน แต่ไม่ได้เรียนรุ่นเดียวกัน และยืนยันว่าไม่เคยนำข้อมูลไปให้นายเอกลักษณ์ โดยตนเองมีหลักฐานการพูดคุยส่วนตัวกับนายเอกลักษณ์ ซึ่งได้มอบให้ตำรวจไปแล้ว และเป็นการพูดคุยเป็นการส่วนตัว ไม่ได้พูดคุยเรื่องข้อมูลในกระทรวงเกษตรฯ ไม่เกี่ยวข้องเลย แม้กระทั่งวันเกิดเหตุที่ไปจับกุมนายศรีสุวรรณ กับพวก ตนเองก็ได้ถามนายเอกลักษณ์ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ นายเอกลักษณ์ก็บอกตนเองว่าไม่เกี่ยวข้อง แล้วตนเองก็เตือนไปว่า อย่าไปยุ่ง และตนเองก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น ห้ามนำไปแอบอ้างอย่างเด็ดขาด



ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ มาอ้างว่า นายโอวาท เป็นบุคคลที่นำข้อมูลของกรมการข้าวไปให้ นายเอกลักษณ์นั้น จะดำเนินการฟ้องกลับหรือไม่ นายโอวาท ระบุว่า คงต้องขอดูก่อน หากมีการนำข้อความที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและทำให้ตนเองเสียหาย ก็จะต้องหารือกับนักกฎหมายอีกครั้ง เพราะตนเองก็ไม่อยากมีเรื่องกับใคร