เปิดปฏิบัติการไล่ล่าเครือข่ายยาเสพติด 'เปา กระนวน' ใช้อาวุธยิงใส่รถตำรวจเปิดทางหนี

แม้ เปา กระนวน จะถูกวิสามัญขณะต่อสู้กับตำรวจไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เครือข่ายยังมีอีกหลายคน ซึ่งพยายามขึ้นมาแทน ล่าสุดตำรวจสอบสวนกลางได้บุกจับเครือข่ายทั้ง 4 คนหลังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและใช้อาวุธยิงใส่รถตำรวจ


ช่วง 02.00 น. ของวันที่ 4 สิงหาคม ตำรวจทางหลวงได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจตราบนท้องถนน กระทั่งพบรถกระบะต้องสงสัยขับหลบหนีเข้าป่าความเหิมเกริมของกลุ่มคนร้ายก็เริ่มขึ้นเมื่อโทรศัพท์เรียกรถจักรยานยนต์ให้มาเสริม และยิงใส่รถตำรวจ เปิดทางให้รถกระบะขับหนีไป ส่วนคนขี่รถจยย. จวนตัวทิ้งรถวิ่งหลบหนีไปเช่นกัน


ตำรวจสอบสวนกลางและกองกำกับการ 3 กองปราบปรามใช้เวลาสืบสวน กระทั่งทราบว่าคนร้ายเป็นเครือข่ายยาเสพติด ที่ขึ้นมาแทน เปา กระนวน ซึ่งถูกวิสามัญขณะต่อสู้ตำรวจ แต่เมื่อทราบตัวแล้วพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแยกย้ายหลบหนีออกจากพื้นที่ จ.ขอนแก่น


ปฏิบัติการไล่ล่าเกิดขึ้นเมื่อทราบว่านายอธิชา หรือตั้น มือยิงมาหลบในพื้นที่ กรุงเทพ และระหว่างกำลังจะขับรถหลบหนี


พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รองผู้บังคับการปราบปรามนำกำลังหน่วยหนุมานเข้าจับกุมได้


ส่วนนายศักดิ์ดา หรือ โอม หัวหน้าแก๊ง ซึ่งโดยสารในรถกระบะและเป็นคนโทรศัพท์ เรียกพรรคพวกมาได้หนีไปอยู่เกาะสีชัง ในที่สุด ถูกจับได้พร้อมผู้พาหลบหนีคือนายณรงค์ศักดิ์


คนขับรถกระบะคือนายอนันต์ หรือ แอ้ด ถูกจับได้ที่ จ สกลนคร พฤติการณ์ของเครือข่าย นายศักดาจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และใช้อาวุธสงครามอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นอยู่เบื้องหลัง


พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางกล่าวว่าผู้ต้องหายอมรับเพียงว่า เพิ่งเสพยามาจึงขับรถหนีตำรวจทางหลวง และเรียกพรรคพวกมาช่วย จึงน่าสงสัยว่ารถกระบะจะมียาหรือไม่ เพราะเป็นกลุ่มเดียวกับผู้ค้ายาที่เคยยิงต่อสู้ตำรวจ


จากการสืบสวน ของเจ้าหน้าที่ ภายหลังจากการเสียชีวิตของ "เปา กระนวน" นายศักดิ์ดา ก็ได้ตั้งตัวพยายามเป็นเอเย่น ยาเสพติดรายใหญ่ ในพื้นที่


แม้จะยึดยาในรถกระบะได้ไม่กี่เม็ด แต่พฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ถูกตั้งข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า เจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองและพาไปในที่ สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ,ร่วมกันมียาเสพติด ให้โทษไว้ในครอบครองทั้งหมด 6ข้อหา