สังคม

ศาลยกคำร้อง 'อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ' ฟ้องตำรวจชุดจับกุม บุกจับรับสินบนคาโต๊ะทำงาน

โดย chiwatthanai_t

30 พ.ค. 2566

152 views

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษายกคำร้อง หรือยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง คดีที่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ฟ้องตำรวจ ปปป.ชุดจับกุม รวม 7 คน ในความผิดฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบและทำพยานหลักฐานเท็จ เป็นต้น โดยพิเคราะห์ว่าการปฎิบัติงานของชุดจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นความผิดตามฟ้อง ส่วนคดีที่นายรัชฎา ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ฐานหมิ่นประมาท ทำพยานหลักฐานเท็จ อยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง และคดีที่นายรัชฎา ถูก ป.ป.ช.ฟ้องฐานเรียกรับสินบน อยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐาน 


กรณีที่นายรัษฏาฟ้องกลับชุดบุกจับรวม 7 คน ซึ่งคำฟ้องระบุว่าจำเลย ที่ 7 คือนายชัยวัฒน์ แอบติดกล้องบันทึกภาพเข้าไปในห้องแล้วพูดชักจูงให้ตกลงรับเงินหรือเปอร์เซ็นต์ของเงิน จากข้าราชการ แล้วยื่นซองให้ 3 ซอง โดยโจทก์ไม่รู้ว่าเป็นเงิน 98,000 ซึ่งโจทก์ปฎิเสธไม่รับ จากนั้นเลยที่ 1 ถึง 6 รวมถึงเจ้าหน้าที่ ปปป./ ป.ป.ช. และปปท.ก็บุกเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ จากนั้นก็บันทึกคลิปขณะทำงานไว้ด้วย


จากเหตุการณ์นั้น นายรัษฎาฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึง 6 นำโดยผู้การตำรวจ ปปป.ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นความผิดอาญาตามมาตรา 157 เป็นการกลั่นแกล้งให้รับโทษ ผิดอาญามาตรา 200 โดยจำเลยที่ 7 คือนายชัยวัฒน์


นอกจากนี้ก็ฟ้องว่าจำเลย 1-7 ร่วมกันทำพยานหลักฐานเท็จ ผิดอาญามาตรา 179 พฤติกกรรมซ่องโจร ผิดอาญามาตรา 210 และยังกักขังหน่วงเหนี่ยวให้เสียอิสรภาพผิดอาญามาตรา 310 ส่วนการบุกรุกเข้าไปในห้องโดยไม่มีหมายค้น หรือหมายจับ ถือว่าผิดอาญามาตรา 364 และใช้กำลังข่มขู่บังคับก็ผิดอาญามาตรา 365 เช่นเดียวกับการบันทึกคลิปวิดีโอ นำความลับราชการไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ผิดอาญามาตรา 164 และยังผิด ตามมาตรา 79 ของ พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562


ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่ต้องเข้าค้นและจับเพราะจำเลยที่ 7 เคยร้องเรียน ป.ป.ช.ไว้ เชื่อว่าคดีมีมูลแต่ขาดหลักฐาน จึงประสานตำรวจ ป.ป.ป. สืบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งดำเนินการตามการประสานของ ป.ป.ช. จึงเป็นการทำตามหน้าที่ของ ตำรวจ ป.ป.ป. และเป็นเพียงวิธีพิสูจน์ความผิด ไม่ใช่แสวงหาความจริงโดยมิชอ / และไม่ใช่การร่วมกันทำให้โจทก์กระทำผิด /ส่วนการนำซองเงินไปให้และสื่อสารกันตลอด ก่อนบุกจับถือเป็นความผิดซึ่งหน้า และมีเหตุเชื่อได้ว่าหากรอขอหมายค้น หลักฐานอาจถูกทำลายหรือโยกย้าย จำเลยจึงมีอำนาจค้นและจับโดยไม่ต้องรอหมายค้นหรือจับ


ขณะที่การแถลงต่อศาลของจำเลย จำเลยที่ 1 ถึง 6 ไม่เคยรู้จักกับโจทก์และไม่เคยโกรธแค้นกัน จึงไม่มีเหตุบ่งชี้ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง จึงไม่เป็นความผิดทั้งมาตรา 157/มาตรา 200/179/210/310/364 และ 365


ส่วนความผิดมาตรา 164 พยานหลักฐานยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 6 กระทำผิด เพราะขณะนั้นมีพยานหลักฐานของโจทก์ ที่เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานฯรวมอยู่ในห้องด้วย / และสุดท้ายคือความผิดตามมาตรา 79 พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 นั้น ศาลเห็นว่าเมื่อการเข้าค้น และจับดังกล่าวเป็นการทำตามหน้าที่เพื่อสืบสวนและจับเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ทำทุจริต การบันทึกคลิป เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดตาม พรบ.นี้ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีนี้โจกท์มีเวลา30 วันยื่นคำร้องอุทธรณ์


สำหรับอีก 2 คดีที่เกี่ยวเนื่องกัน คือนายรัษฎา ฟ้องนายชัยวัฒน์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียวข้อหาในความผิดแจ้งความเท็จ ทำพยานหลักฐานเท็จเพื่อกลั่นแกล้งให้รับโทษทางอาญาและหมิ่นประมาท ศาลเริ่มนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วเมื่อวานนี้โดยไต่สวนพยานโจทก์ได้ 1 ปาก และนัดใหม่วันที่ 10 กรกฎาคมนี้


ส่วนคดีที่นายรัษฎา ถูกดำเนินคดีฐานเรียกรับสินบน ยอมจะรับสินบน ซึ่งเป็นต้นทางของคดีทั้งหมดนั้น ขณะนี้อยู่ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐาน โดยป.ป.ช.กำหนดนัดให้นายรัษฎา ต้องไปรายงานตัวทุก 3 เดือน 

คุณอาจสนใจ