'ชูวิทย์' แฉบิ๊กป.ป.ง. สนิท 'ตู้ห่าว' จี้ลาออกยกคณะ

คดีทุนจีนสีเทา โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว ยังมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่องครับ ล่าสุดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เปิดโปงธุรกิจของกลุ่มทุนจีนมาตลอด ได้แถลงข่าวอีกเป็นครั้งที่ 5 ครั้งนี้ อ้างอิงถึง ความสนิทสนม ใกล้ชิด ระหว่างนายตู้ห่าว กับอดีตเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.ถึงขั้นนำบัตรผ่านประตูเข้า ออก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แก่เครือข่าย นายตู้ห่าว เพื่อใช้เข้าออกได้



การแถลงข่าวครั้งล่าสุดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ที่พยายามเปิดโปงเครือข่ายกลุ่มนักธุรกิจชาวจีน ที่นายชูวิทย์ระบุว่าเป็นทุนจีนสีเทา โดยครั้งนี้นายชูวิทย์ พยายามอธิบายถึงโครงข่ายของกลุ่มทุนจีนเทา ที่เขาระบุว่ากลุ่มคนเหล่านี้เลือกที่จะไปลงทุนในประเทศที่มีระบบราชการอ่อนแอ โดยถือพาสปอร์ต สัญชาติวานูอาตู และมอลต้า เพื่อมาก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ในรูปแบบขบวนการค้ายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ โดยเป้าหมายคือกลุ่มคนจีนด้วยกัน จากนั้นก็จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ และทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย



หนึ่งในประเด็นสำคัญที่นายชูวิทย์แถลง ล่าสุด คือการที่เขาตั้งข้อสังเกตุว่าคดีนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แต่กลับไม่มีการ ตรวจสอบเรื่องการฟอกเงิน ซึ่งนายชูวิทย์ ระบุว่าอาจเพราะมีผู้บริหาร ปปง.ใกล้ชิดสนิทสนมนายตู้ห่าวหรือไม่



นายชูวิทย์ ยังอ้างอิงถึงหลักฐานว่านายตู้ห่าว เคยเดินทางไปที่สำนักงาน ปปง. หลายครั้ง และทั้งคู่เคยกินอาหารร่วมกัน นอกจากนี้ยังพบสติ๊กเกอร์ตราโล่ ของผู้บริหารระดับสูง ของ ปปง. ไปติดบนรถตู้ของนาย หลิงหลง เครือข่ายกลุ่มธุรกิจทุนจีนสีเทาด้วย จึงขอเรียกร้องให้ ปปง.ลาออกยกคณะ เพื่อรับผิดชอบคดีดังกล่าว // ขณะเดียวกัน ก็ระบุว่าจะนำหลักฐานไปร้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด // สมาชิกวุฒิสภา และจะเสนอตัวเองเป็นพยาน โดยไม่กลัวว่าจะถูกฟ้อง



เมื่อเช้านี้ ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล และพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่งร่วมโต๊ะทานข้าว กับนายชูวิทย์



หลังจากที่นายชูวิทย์ ไปมอบรถห้องเย็นให้โรงพยาบาลตำรวจเพื่อใช้ภารกิจนิติเวช ระหว่างนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตอบคำถามสื่อมวลชน หลังจาก สำนักงานอัยการสูงสุด รับพิจารณาคดีนายตู้ห่าว เป็นองค์คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และดีเอสไอ รับคดีฟอกเงินทางอาญา เป็นคดีพิเศษ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าเรื่องดีที่เมื่อทำงานร่วมกันแล้ว จะทำให้คดีมีน้ำหนัก และรอบคอบยิ่งขึ้น