สังคม

เฝ้าระวัง #ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว หลังปะทุอีกรอบ ยืนยันอพยพรัศมี 5 กม.

โดย pattraporn_a

6 ก.ค. 2564

234 views

เจ้าหน้าที่ยังคงต้องเฝ้าระวังไม่ให้ไฟลุกไหม้สารเคมีที่ยังเหลือใน บริษัทหมิงตี้เคมิคอล หลังจากเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทุใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ทางจังหวัดสมุทรปราการ ยังคงขอให้ประชาชนในรัศมี 5 กิโลเมตร อพยพอยู่ในที่ปลอดภัย


ขณะที่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ แก้ปัญหาด้วยการนำสารเคมีชนิดอื่นมาฉีดเพื่อเปลี่ยนสภาพสารที่ตกค้าง เป็นทางออกที่จะไม่ต้องปล่อยให้ไฟไหม้สารเคมีทั้งหมดที่อาจต้องใช้เวลานาน


โดยย้อนไปเมื่อเวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา (6 ก.ค.) เกิดไฟปะทุลุกไหม้บริเวณบ่อสารเคมี บริษัทหมิงตี้ อย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดควันสีดำขนาดใหญ่ พุ่งออกมาในแนวราบ ไปยังทิศทางถนนกิ่งแก้ว ถือเป็นการปะทุที่รุนแรงที่สุดของวันนี้ หลังจากควบคุมสถานการณ์ด้วยการปิดวาล์วในบ่อสารเคมีได้เมื่อช่วงก่อนเที่ยงคืนที่ผ่าน แต่หลังจากนั้นไฟปะทุขึ้นอีก


ทำให้ต้องระดมรถดับเพลิงและใช้น้ำยาฉีดโฟมฉีดเข้าไปภายในเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง จนสงบในช่วงเช้า แต่ยังมีการปะทุในจุดเล็กๆ เพราะแม้จะปิดวาล์วไปแล้ว แต่มีสารเคมีหลงเหลือในบ่อ และไหลอยู่ตามผิวดินและใต้อาคารที่มีพื้นทรุด ทำให้ต้องวางกำลังเจ้าหน้าดับเพลิง และอุปกรณ์ เพื่อคอยฉีดโฟมเลี้ยงไว้ไม่ให้เกิดความร้อน โดยเหตุไฟปะทุเมื่อเย็นที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด เพราะเหตุเกิดขึ้นมีลมฝนที่ไม่เป็นผลดีต่อการดับไฟ


กลุ่มควันที่ลอยในระดับพื้นต่ำทำให้ประชาชนในบริเวณวัดกิ่งแก้ว ที่เข้ามาดูข้าวของในบ้าน ต่างเร่งอพยพออกจากพื้นที่อีกครั้ง เพราะกลุ่มควันน่ากลัว และห่วงผลกระทบจากสารเคมี ที่เมื่อวานนี้ส่วนใหญ่จะลอยไปในอากาศ แต่วันนี้เข้ามาในบ้าน จึงต้องอพยพไปที่ปลอดภัยก่อน


นายสุเทพ มั่นคง หัวหน้าคนงาน บริษัทหมิงตี้เคมิคอล ที่เป็นตัวแทนของผู้จัดการบริษัท ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดกำลังเข้ารับการผ่าตัดที่เอ็นหัวเข่า ได้มาพบ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระเกษตรและสหกรณ์ ที่มาติดตามการควบคุมเพลิง ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ภายในบ่อสารเคมี มีสารสไตรลิน 1.6 พันตัน หรือ 1.5 ล้านลิตร จากการเผาไหม้กว่า 1 วันที่ผ่านมา น่าจะมีปริมาณกว่า 6 พันตัน คาดว่าจะเหลืออยู่ในบ่อและรั่วไหลอยู่ในพื้นที่ ประมาณ 1 พันตัน หรือ 1 ล้านลิตร ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้มีการปะทุขึ้นอีก


ขณะที่ นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบ ระบุว่า คาดว่ายังคงมีสารสไตรีนตกค้างในถังประมาณ 1.6 พันตัน ซึ่งจะต้องเร่งนำออกไปกำจัดอย่างถูกวิธี และปกติหากพื้นที่ใดมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ จะไม่อนุญาตให้มีบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง แต่โรงงานนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2532 พื้นที่ขณะนั้นยังไม่มีความเจริญ เมื่อมีการเจริญเติบโตเข้ามามากขึ้น จึงเป็นต้องมองปัญหาเกี่ยวกับผังเมืองต่อไป และที่สำคัญต้องกำจัดสารเคมีในพื้นที่


ส่วนคุณภาพอากาศจากสารเคมีที่ระเหยไปนั้น นายอรรพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ในการตรวจสอบคุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ำ ซึ่งก่อนจะมีเหตุปะทุในช่วงเย็น คุณภาพอากาศ ในรัศมี 1 กิโลเมตร เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เมื่อมีกลุ่มควันปะทุขึ้นอีก จึงต้องประเมินในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง และตรวจสอบคุณภาพน้ำทั้ง 7 จุดในพื้นที่สมุทรปราการ รวมทั้งจากกรณีฝนตกด้วย


จากเหตุผลข้างต้นทำให้ทาง นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ยังต้องขอให้ประชาชนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ยังอพยพในที่ปลอดภัย และยังไม่อยากให้กลับเข้ามาในบ้าน


ขณะเดียวกัน ต้องหาทางแก้ปัญหาสารเคมีที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ เพราะหากจะใช้วิธีฉีดน้ำยาโฟม เพื่อเลี้ยงไม่ให้เกิดความร้อน จะต้องใช้เวลาอีกมาก อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ จึงเสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และทุกฝ่ายหาข้อสรุปร่วมกันในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากการหารือกับผู้เชี้ยวชาญ ระบุว่า จะใช้สารออแกนิคเปอร์ออกไซค์ มาฉีดพ่นในบ่อสารเคมี สไตรลีน เพื่อให้แปลงสภาพเป็นโฟม หรือพลาสติก ที่ติดไฟได้ยากกว่าสารระเหย โดยประสานบริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ มาช่วยกันหาวิธีการในวันพรุ่งนี้ ซึ่งทางบริษัทหมิงตี้เคมิคอล ก็เห็นด้วย


ซึ่งเหตุการณืที่เกิดขึ้น สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุไฟไหม้ที่ทำให้อาสามัครดับเพลิงเสียชีวิต 1 นาย และสร้างความเสียหายจำนวนมาก ในฐานะที่บริษัทหมิงตี้เคมิคอล เป็นบริษัทร่วมทุนไทยและไต้หวัน จึงมีการตั้งคณะทำงานมาช่วยแก้ไขเหตุฉุกเฉิน จัดการสารเคมีที่ตกค้าง และกำหนดมาตรการควบคุมพื้นที่เสี่ยงอย่างดีที่สุด


โดยเหตุระเบิดได้ส่งผลกระทบกระจายไปในพื้นที่ 4 ตำบล 30 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 80,000 คน​ มีผู้เข้าแจ้งความกรณีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 182 ราย ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้ได้รับรายงานมีจำนวน 33 ราย 


คุณอาจสนใจ