สังคม

มูลนิธิเมาไม่ขับ เตรียมสู้คดีช่วยครอบครัว นศ.เหยื่อทหารอากาศเมาชนดับ

โดย natthanon_r

7 เม.ย. 2564

48 views

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยกับข่าว 3 มิติ พร้อมจะดำเนินการฟ้อง ทหารอากาศที่ขับรถชนคู่กรณีเสียชีวิต 2 คน ที่จังหวัดสกลนคร ฐานเมาแล้วขับ หากได้รับมอบอำนาจจากญาติผู้เสียชีวิต และพร้อมจะเป็นพยานต่อศาลในฐานะผู้เชี่ยวชาญ หากตำรวจยื่นฟ้องข้อหานี้ 


นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยกับข่าว 3 มิติว่า หากได้รับมอบอำนาจจากครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการถูก พันจ่าอากาศเอกธีรศักดิ์ ศรีทอง ขับรถชนที่จังหวัดสกลนคร มูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมจะร่วมยื่นฟ้องในข้อหาเมาแล้วขับ เพราะจากพยานและหลักฐานที่ปรากฎต่อสาธารณชน มีความชัดเจน


นอกจากนี้ นายแพทย์แท้จริง ยังระบุว่า แม้พันจ่าอากาศเอกธีรศักดิ์ ไปพบพนักงานสอบสวนในเช้าวันรุ่งขึ้น และผลตรวจแอลแอลกอฮอล์พบว่าอยู่ที่ 29 มิลลิกรัมเปอ์เซ็นต์ ซึ่งไม่เกิน 50 มิลลิกรัมตามที่กฎหมายกำหนด แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายจะลดลง 15 เปอร์เซ็นต์ ในทุก 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากนับย้อนกลับไปจากเวลาที่ตรวจวัดล่าสุด ไปถึงเวลาที่เกิดเหตุเชื่อว่า ปริมาณแอลกอฮอล์จะเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน


เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยังระบุว่า มูลนิธิพร้อมจะเป็นพยานต่อศาลในฐานะผู้เชี่ยวชาญในกรณีการตรวจสอบและป้องกันการเมาสุราแล้วขับรถ หากตำรวจยื่นฟ้องในข้อหาเมาสุราแล้วขับรถ 


กรณีนี้เกิดขึ้น เมื่อ 01.45 น. ของวันที 3 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อ พันจ่าอากาศเอกธีรศักดิ์ สังกัดกองบิน 23 อุดรธานี ขับรถยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์ ที่สี่แยกบ้านธาตุ อำเภอเมืองสกลนคร ทำให้นักศึกษาหญิงมหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 1 คน ซึ่งเดิมญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากพยานในที่เกิดเหตุให้การชัดเจนว่า พันจ่าอากาศเอกคนดังกล่าวให้การปฎิเสธว่าไม่ได้ฝ่าสัญญาณไฟแดง และมีอาการคล้ายคนเมาสุรา


อย่างไรก็ตาม พันจ่าอากาศเอกธีรศักดิ์ ได้เข้ามอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหา จากพนักงานสอบสวนแล้วตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ โดยถูกแจ้งความผิด 2 ข้อ หา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และขับขี่รถขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่นโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และอันตรายสาหัส


ข้อมูลตำรวจอ้างอิงหลักฐานคือหลักฐานกล้องหน้ารถพยาน พบรถยนต์คันดังกล่าว ขับขี่ด้วยความเร็วสูงเกินสมควร และฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดง ซึ่งถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญ นอกจากนี้ ในรายงานคดีสำคัญของตำรวจช่วงหนึ่งระบุว่า หลังเกิดเหตุผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้ตำรวจโดยพนักงานสอบสวนทดสอบเพื่อทราบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยเครื่องเป่าจากลมหายใจทางปาก โดยไม่มีเหตุอันควร โดยเลี่ยงจากที่เกิดเหตุไป

คุณอาจสนใจ