'คณบดีศิริราช' ชี้โอมิครอน ยังไม่มีหลักฐานความรุนแรง แต่อย่าชะล่าใจ

สังคม

'คณบดีศิริราช' ชี้โอมิครอน ยังไม่มีหลักฐานความรุนแรง แต่อย่าชะล่าใจ

12 ธ.ค. 2564

5 views

วันที่ 11 ธ.ค.64 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ปีนี้มีจุดกระทบในเรื่องสายพันธุ์โอไมครอน โชคดีที่มันปรากฏตัวตั้งแต่ พ.ย. ถ้ามันปรากฏตัวตอนสัปดาห์ที่ 3 ของ ธ.ค. คิดว่าแต่ละประเทศกลับตัวไม่ทัน ไม่อยากนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่พบเมื่อวันที่ 24 พ.ย. องค์การอนามัยโลกและหลายประเทศมองว่า มันจะมาซ้ำเติมช่วงพีเรียดที่มีความเสี่ยงเยอะ จึงรีบออกมาเตือนเนิ่น ๆ โดยอาศัยข้อมูลด้านวิชาการเรื่องการกลายพันธุ์ว่า จุดกลายพันธุ์มีแนวโน้มทำให้ระบาดมากขึ้น



เมื่อนักวิจัยหลายประเทศวิเคราะห์จุดกลายพันธุ์ของมันจะก่อเรื่องใดบ้าง จะกระทบใน 3 เรื่องที่น่ากังวลอย่างไร คือ 1. การแพร่เร็วขึ้น 2. รุนแรงขึ้น และ 3. วัคซีนเอาอยู่หรือไม่ ล่าสุด ข้อมูลมีระดับหนึ่งที่นักวิจัยออกมารายงานผลการศึกษาเฉพาะในห้องวิจัยเกี่ยวกับโอไมครอน ซึ่งยังไม่ใช่ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในโลก พบว่า แม้ว่าจุดกลายพันธุ์กว่า 32 ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนหนามไวรัส ที่อาจทำให้แพร่กระจายมากขึ้นจริง หลายประเทศในยุโรปกำลังวิเคราะห์ว่า ขณะนี้ที่ระบาดเพิ่มขึ้นมากจะเกิดขึ้นจากโอไมครอนมากน้อยอย่างไร แต่กว่า 98% ยังเป็นสายพันธุ์เดลต้าอยู่ รวมถึงข้อมูลยังระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อโอไมครอน ที่รายงานทั่วโลกพบว่ามีผู้อาการรุนแรง ต้องเข้าไอซียูเพียง 1 รายในแอฟริกา และยังไม่มีการพิสูจน์ผู้เสียชีวิตจากโอไมครอน



จากการศึกษาจุดกลายพันธุ์ในโอไมครอน พบสิ่งที่น่าจะเป็นข่าวดีระดับหนึ่ง คือ จุดที่มีโอกาสกระตุ้น T Cell ยังคงอยู่กว่า 80% หมายความว่าระบบภูมิคุ้มกันที่จะลดความรุนแรงของโรค น่าจะยังคงอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นคือสำหรับผู้ฉีดวัคซีนมาก่อนครบแล้ว ก็น่าจะยังลดความรุนแรง เสียชีวิตจากโอไมครอนได้ แต่เรื่องการติดเชื้ออาจมีประสิทธิภาพลดลง



ดังนั้น ในโลกความจริงยังไม่มีหลักฐานว่าโอไมครอนจะก่อให้เกิดความรุนแรง ทั้งนี้หากมีการเตือนจากนักวิจัย หรือแพทย์ในต่างประเทศ รวมถึงองค์การอนามัยโลก ต่างเตือนว่าให้เฝ้าติดตาม อย่าชะล่าใจ เนื่องจากความเป็นห่วงในช่วงเดือน ธ.ค. ทำให้หลายประเทศออกมาจำกัดกันหมด เช่น สิงคโปร์ อิสราเอล และญี่ปุ่น ประกาศห้ามเดินทางเข้าประเทศ ประเทศอื่น ๆ ก็ยกระดับมาตรการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ



อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า หลายประเทศพูดถึงการกระตุ้นเข็ม 3 เพราะมีรายงานออกมาว่าทำให้ภูมิเพิ่มขึ้นชัดเจน รวมถึงเมื่อเทียบโอไมครอนโดยตรง มีภูมิมากกว่าการฉีดแค่ 2 เข็ม ซึ่งหลายประเทศฉีดเข็ม 3 เน้นในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงมีคำแนะนำให้ฉีดเข็ม 3 ในกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นมา แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค แต่ไทยเราล้ำหน้ากว่าเขา เพราะเรามีวัคซีนจำนวนมาก และเราก็ฉีดกันกว้างขวางมาก



เมื่อถามว่าทั่วโลกปรับมาตรการในช่วงนี้ สำหรับไทยเองมีมาตรการที่เหมาะสม เพียงพอแล้วหรือไม่ รวมถึงบางคนเสนอว่า ไม่ควรเปิดประเทศในช่วงเวลานี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ณ วันนี้เราเจอโอไมครอนมา 2-3 สัปดาห์แล้ว ข้อมูลในโลกยังไม่พบหลักฐานว่าก่อให้เกิดความรุนแรง ก็ต้องกลับมาดูมาตรการของไทย หากเข้มงวดจริง มีการดำเนิน 100% มีการกำกับเต็มที่ แต่ยังเอาไม่อยู่ นั่นแสดงว่ามาตรการไม่พอ ต้องปรับให้มากขึ้น แต่ขณะนี้มองว่ามาตรการที่ประกาศออกมาค่อนข้างดี ยังพบว่ามีเรื่องหลุดรั่ว เช่น ผู้ประกอบการไม่ทำตามมาตรการ หลายแหล่งมีผู้ให้บริการที่ไม่ฉีดวัคซีน



หากเราเข้มมาตรการ เราถึงจะบอกได้ว่ามาตรการพอหรือต้องเพิ่ม แต่ถ้าตราบใด เรายังไม่เข้มงวดแต่ประเมินว่ามาตรการไม่พอ ผมคิดว่าอาจจะไม่ใช่ ไม่งั้นเราจะมีมาตรการบางอย่างที่ออกมาเกินความจำเป็น หรืออาจมีบางมาตรการช้ากว่าความจำเป็น ดังนั้น ตอนนี้ต้องเร่งประเมินมาตรการทันที ทำให้เข้มงวดทันที เพื่อประเมินสถานการณ์จริง



ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ เราเผลอไม่ได้ เพราะโอไมครอนไปกว่า 57 ประเทศเป็นอย่างน้อย ซึ่งข้อมูลคนเข้าไทยแต่ละวัน ก็มาจากประเทศที่พบแล้วทั้งนั้น ฉะนั้น ต้องคิดไว้ก่อนว่าคนเหล่านี้มีโอกาสนำเชื้อเข้ามา เราต้องกักตัว ตรวจ RT-PCR ถอดเชื้อหาสายพันธุ์ ควบคู่กับการกระชับชายแดนให้ดี เพราะอย่างปีที่แล้วใกล้ปีใหม่ มีงานเยอะ ก็มีแรงงานเข้ามาเยอะ ปีนี้เราประกาศเปิดประเทศ ก็คาดเดาได้ว่าจะมีคนเข้ามา แต่ต้องมีมาตรการติดตามดูแลเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่หรือติดเชื้อ


รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/LOtHvptlx0A

คุณอาจสนใจ

Related News