'ทิดไพรวัลย์' ฟาดกลับ หลังโดนต่อว่ากินหมูกระทะ - 'พระพยอม' เผยรู้สึกเสียดาย 'ทิดไพรวัลย์' ลาสิกขา

สังคม

'ทิดไพรวัลย์' ฟาดกลับ หลังโดนต่อว่ากินหมูกระทะ - 'พระพยอม' เผยรู้สึกเสียดาย 'ทิดไพรวัลย์' ลาสิกขา

โดย weerawit_c

4 ธ.ค. 2564

4.4K views

วานนี้ (3 ธ.ค.) หลังจากที่พระมหาไพรวัลย์ วรวัณโณ พระลูกวัดวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ได้ทำพิธีลาสิกขาบทจากสมณเพศเงียบ ๆ กับพระรุ่นพี่ คือ พระมหานภันต์ สันติภัทโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ มีพระมหาสมปอง ตาลปุตโต ร่วมพิธีด้วยที่วัดสระเกษ หลังแสดงความจำนงไว้ก่อนหน้านี้จากกรณีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส ช่วงหนึ่งของการสึก อดีตพระมหาไพรวัลย์ได้น้ำตาคลอ


จากนั้นอดีตพระมหาไพรวัลย์ หรือ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ เป็นภาพขณะลาสิขา พร้อมระบุข้อความเป็นภาษาบาลีว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ ข้าพเจ้า ขอบอกคืนสิกขา วินยํ ปจฺจกฺขามิ ข้าพเจ้า ขอบอกคืนพระวินัย ปาโมกฺขํ ปจฺจกฺขามิ ข้าพเจ้า ขอบอกคืนปาฎิโมกข์ คิหีติ มํ ธาเรถ ขอท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”


และได้โพสต์ภาพหลังสึกในชุดฆราวาส ใส่เสื้อยืดสีขาวลายแมว 3 ตัว นุ่งโสร่ง สะพายย่าม สีหน้ามีรอยยิ้ม พร้อมระบุข้อความสั้น ๆ ว่า "เริ่ม" โดยภาพในคอมเมนต์ชูนิ้วเป็นหัวใจมินิฮาร์ท พร้อมระบุว่า "ผมโสดนะ" จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทันที


ก่อนจะโพสต์รูปที่ได้เจอกับแม่ระบุว่า “แม่เตรียมจะผ่าตัดแล้ว อยากจะกอดก็ยังกอดไม่ได้” ซึ่งเเม่ของทิดไพรวัณย์ ป่วยเป็นโรคมะเร็ง


อดีตพระมหาไพรวัลย์ เปิดใจหลังเป็นฆราวาส ว่า “ตอนแรกตนจะสึกวันที่ 4 ธ.ค. แต่กลัวสื่อตามมาเลยตัดสินใจสึกวันที่ 3 ธ.ค.แทน สาเหตุที่สึกมีหลายเงื่อนไข โดยเฉพาะเรื่องแม่ วันนี้ (3 ธ.ค.) แม่ต้องเข้าผ่าตัดใหญ่ที่ก้อนเนื้อมะเร็ง จึงอยากไปให้กำลังใจ แม่ผ่าตัดเสร็จจะได้ดูแลแม่ยาว ๆ โดยบวชมา 18 ปี ทำให้ยังต้องปรับตัว เรื่องรักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองก็เป็นประเด็นหนึ่ง บวกกับแม่ป่วยมะเร็งและเวลาเหลือน้อย จึงตัดสินใจออกมาทำหน้าที่ดูแลท่าน”


“ขอเริ่มมาใช้ชีวิตฆราวาส ไม่ได้เปิดศึกกับใคร แต่หากมีเรื่องที่พูดแทนพระสงฆ์ได้ก็จะทำ โดยจะพูดตรง ๆ ด้วย เดี๋ยวเจอกันครับ อีกทั้งอยากกลับไปบ้านและดูแลแม่ด้วย สังคมสงฆ์ตอนนี้คับแคบกว่าฆราวาส เพราะเราทำอะไรที่เป็นตัวตนของเราไม่ได้ ด้วยกฎระเบียบบางอย่าง จึงคิดว่าสึกดีกว่า วงการสงฆ์ก็มีการเมือง อย่างที่ตอนบวชก็เจอเรื่องร้องเรียนมากมาย มีจีวรไม่พอยังเอาปลอกคอมาใส่ให้อีก ยังเอามติมาบีบกันอีก ไม่ควรใช้อำนาจมาแทนความเป็นธรรม”


อดีตพระมหาไพรวัลย์ ยังเผยอีกว่า “ถ้าผู้ใหญ่ที่มีอยู่ ทำให้เราไม่อยากก้มหัวให้ ถ้าเป็นพระมีคุณธรรมและเป็นผู้ใหญ่ เราก็อยากอยู่ แต่บางเรื่องมันไม่ใช่ ยืนยันจะไม่กลับไปบวชอีก ชีวิตต้องไปต่อ ตัดสินใจไม่นานว่าจะสึก ไม่รู้จะเสียดายเวลาอะไร เพราะที่เราเรียนมาก็ยังอยู่ แค่ความเป็นพระหายไปเท่านั้น”


“เรายังรู้ธรรมะคืออะไร ถ้าจะให้พูดสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติก็ต้องจัด แต่เรื่องคณะสงฆ์ขอไม่พูด เรื่องของผมที่ถูกร้องให้สอบ พบถูกร้องโดยสำนักพุทธฯ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ โดยต้องทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา จึงอยากให้เอาคนในสำนักพุทธฯ มาบวชบ้าง ก็แค่เป็นพวกหัวดำอยากคุมหัวโล้น”


อดีตพระมหาไพรวัลย์ ยอมรับว่า ตอนนี้หมดศรัทธากับคณะสงฆ์ พระผู้ใหญ่บางรูป เพราะรู้สึกแย่มาก แต่กับคำสอนของพระพุทธศาสนายังเต็มร้อย ไม่เคยหมดศรัทธากับศาสนา เพราะยังมีครูบาอาจารย์ก็ยังเคารพอยู่ และการสึกออกมา ไม่ได้จะออกมาแฉ เพราะไม่ได้เป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น ซึ่งถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ตนเองไม่ยุ่ง


แต่หากมีอะไรที่เป็นประเด็นสาธารณะ การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม การใช้กฎหมายจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จากมหาเถระสมาคม ก็มองว่าตนเองสามารถจะเป็นส่วนหนึ่งในการออกมาคอลเอาท์ เตือนและพูดถึงได้ พร้อมยืนยันว่า หากสำนักงานพระพุทธศาสนาทำอะไรไม่เหมาะ จะขอเป็นหนึ่งในจำนวนชาวพุทธ หลายล้านคนที่จะออกมาคอลเอาท์ ในการใช้อำนาจของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติแน่นอน เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็เป็นองค์กรหนึ่งที่อยู่ได้ด้วยภาษีของประชาชน ดังนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่ตรวจสอบพระ ก็อยากจะให้ชาวพุทธทำหน้าที่ตรวจสอบสำนักงานพระพุททธศาสนาแห่งชาติบ้างว่า ทำถูกต้องหรือไม่ ใช่อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่


อดีตพระมหาไพรวัลย์ มองว่าที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำไม่เหมาะสม เพราะสำนักพุทธฯ ทำหน้าที่เป็นองค์กรทางการเมือง โดยก่อนที่ตนจะสึก คนที่เป็นโจทย์ยื่นสอบตนเองก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตนจึงมองว่ามันไม่ใช่หน้าที่ เป็นเหมือนหอกข้างแคร่


เมื่อถามถึงประเด็นถูกกล่าวหามีเงิน 300 ล้าน มหาไพรวัลย์ เผยว่า ดีนะขอโทษแล้ว ไม่งั้นฟ้องไปแล้ว แต่สงสารนักข่าว ช่องก็ลอยนวล เรารู้ว่าไม่ชอบเรา แต่ต้องเสนอข่าวตามข้อเท็จจริง คิดว่าเราเป็นอะไร เจ้ามือหวยใต้ดินหรือ ซึ่งพระมี 300 ล้านอาจมีก็ได้ เพราะอาจบวชมานาน “เงินทองก็ไม่ได้เยอะอะไร หนังสือธรรมะเอาไว้ก็คงไม่มีใครอ่าน จึงขอเอากลับมา ทรัพย์สินที่ได้ตอนบวชก็แค่ตอนทำกับพระมหาสมปอง ในช่วงที่เราไปให้ความรู้คนอื่น ซึ่งของไม่ได้เยอะขนาดนั้น” เมื่อถามว่ามีทั้งคนรักและไม่ชอบ มหาไพรวัลย์ เผยว่า ไม่ได้แคร์อะไรเลย ต้องถามใจคนพูดก่อน


ด้านพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวให้ข้อคิดถึงการลาสิกขาของพระมหาไพรวัลย์ หลังจากนี้ขอให้อยู่อย่างทำตัวแลดูดีเหมือนเมื่อครั้งที่ครองตนเป็นพระสงฆ์ และต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า เมื่อจะก้าวเข้าสู่วัยชราก็ขอให้เป็นคนชราที่แลดูดี อย่าให้ใครมาตำหนิได้ว่าเสียภูมิที่ผ่านมา และทำหน้าที่ทำงานตามที่ท่านถนัด ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนหรือนักบรรยายต่อไป หากทำได้ตามที่กล่าวมานี้ก็เท่ากับเป็นการทำงานสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทาง เพราะตัวท่านจะเป็นแบบอย่างให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาช่วยขัดเกลาและพัฒนาคนให้เป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม


พร้อมกันนี้ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียโอกาสและเสียดายบุคคลผู้ที่จะมาสืบทอดรับใช้พระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามขอฝากไปถึงพระสงฆ์รูปอื่นๆ เรื่องราวในลักษณะที่บีบคั้นกดดันเช่นนี้มีมานาน หากใครที่อาจจะกำลังคิดหรือกระทำเช่นเดียวกัน ขออย่าได้สนใจหรือไปยึดติด ให้ทำหน้าที่ที่ถนัดเป็นประโยชน์ต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้วการลาสิกขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เปรียบได้ดั่งคำโบราณที่เสมือนการปิ้งปลาประชดแมว


หลังจากที่มหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง เดินทางมาถึงบ้านหมอปลา ที่จังหวัดเพชรบุรี ทางหมอปลาเองก็ได้เตรียมของต้อนรับ เป็นศาลพระภูมิ รูปปั้นกุมารทอง รูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และค้อน ให้แก่ มหาไพรวัลย์


หมอปลาให้เหตุผลว่า สาเหตุที่เตรียมของเหล่านี้ เนื่องจาก ก่อนที่จะมาถึงบ้านหมอปลา ทางมหาไพรวัลย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออยากมาอ้วกแทนหมอปลา บ่งบอกมหาไพรวัลย์ อยากที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับหมอปลาด้วย จะต้องทำแบบหมอปลาให้ได้นั่นก็คือการทุบศาลและทุบสิ่งของศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้


นอกจากนี้หมอปลา ยังบอกอีกว่า ของที่เตรียมไว้ให้มีความหมายทุกอย่าง อาทิ รูปปั้นกุมารทอง คือมารผจญที่มาวนเวียนอยู่รอบๆตัวมหาไพรวัลย์ ส่วนศาลพระภูมิ คือ ถ้าหากมหาไพรวัลย์ มาอยู่กับตัวเอง ก็ต้องเตรียมตัวรอหมายศาลให้มาถึงที่บ้านด้วย ก่อนเชิญชวนให้ มหาไพรวัลย์ กินหมูกะทะที่เตรียมไว้


ล่าสุดพระมหาสมปอง เปิดใจว่า อาตมาจะสึกในวันที่ 2 ม.ค.2565 โดยตรงกับวันเกิดแม่ อาตมาพูดไปเดี๋ยวก็โดนอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ด่าอีก เพราะเพิ่งรับปากท่านไป แต่ไม่แน่อาจจะเร็วกว่าเดิม โดยสาเหตุมาจากน้าเน็กติดต่อไพรวัลย์มาแล้ว งานเยอะอะ อิจฉางานตัวเอง งานของหลวงพี่เงียบมาก โดยได้แจ้งเลขาไปแล้วว่าให้รับงานแค่สิ้นปีนี้พอ


เมื่อถามว่าตัดสินใจนานหรือไม่ พระมหาสมปอง กล่าวว่า ตัดสินเมื่อกี้เลย เอาจริงๆ คิดมานานแล้ว โดยทางพี่หนุ่ม กรรชัย และพี่สาวก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปพูดหรอก เพราะจะทำให้ดูไม่ดี แต่ความจริงไม่ใช่เรื่องต้องปิดบัง


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/uEm0I2g_RdE

คุณอาจสนใจ

Related News