ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพกระเป๋าแบรนด์เนมหรู พร้อมกับระบุข้อความว่า เธอถูกเรียกเก็บภาษีกระเป๋าที่ตัวเองใช้งานเอง ไม่ได้เอาเข้ามาขาย เป็นจำนวนถึง 68,929 บาท ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับโชว์ใบเสร็จรับเงินจากกรมศุลกากร ซึ่งในบิลระบุว่า เป็นค่าอากรขาเข้า ปากระวาง กว่า 48,000 บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ปากระวางกว่า 20,000 บาท ลงวันที่21 พ.ย.64 (เป็นอากรที่เรียกเก็บจากของที่ผู้เดินทางพาติดตัวเข้าในราชอาณาจักร)

ทีมข่าวสอบถามเรื่องนี้กับนายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ขอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร พร้อมอธิบายเรื่องการนำสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งตามขั้นตอนจะมีการดำเนินการจัดเก็บภาษีอยู่แล้ว หรือที่เรียกว่าอากรขาเข้า ปากระวาง คือ 20 % และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %

มีรายงานว่า กรณีในลักษณะนี้ กรมศุลกากรเคยชี้แจงไว้แล้ว เมื่อปี 2562 ว่า ผู้โดยสารจะได้รับการยกเว้นอากรสำหรับของส่วนตัวที่ติดตัวเข้ามาทางอากาศยาน เพื่อเอามาไว้ใช้เอง หรือใช้ในวิชาชีพ มูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท โดยต้องไม่เป็นของต้องห้าม ของต้องจำกัด และไม่มีลักษณะทางการค้า

ส่วนอัตราภาษีอากรนำเข้า จะแตกต่างกันตามชนิดและประเภทสินค้า เช่น กระเป๋า 20% , นาฬิกา 5% , เครื่องสำอาง 30% เป็นต้น รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทีมข่าวได้ติดต่อสอบถาม คุณ เกื้อ นามแสง นักธุรกิจและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่เบลเยี่ยม เล่าว่า กระเป๋าแบรนด์เนมใบดังกล่าวเป็นของเพื่อนสาวคนสนิท สัญชาติ ไทย-เบลเยี่ยม เดินทางไปเที่ยวประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ทางกรมศุลกากร ได้ตรวจสัมภาระของเพื่อนสาว แล้วเจอกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูใบนี้ ซึ่งซื้อที่เบลเยี่ยมและใช้งานมานานหลายปีแล้ว รวมทั้งมีการเสียภาษีเรียบร้อยแล้ว เคยถือกระเป๋าใบนี้เข้าหลายประเทศแล้ว แต่ไม่มีศุลกากรประเทศใด เรียกเก็บภาษีเลย

แต่เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ศุลากากรที่สนามบิน ตรวจพบกระเป๋าแบรนด์เนมใบนี้ ก็ถูกเรียกเก็บภาษี ทีแรกเรียกเก็บประมาณ 7 หมื่นกว่า แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนสาวเจรจากับเจ้าหน้าที่ยังไง ถึงลดเหลือ 6 หมื่นกว่าบาท ซึ่งส่วนตัวคุณเกื้อ มองว่ามันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากพอสมควร แต่ถ้าเพื่อนสาวไม่จ่ายภาษี ก็ไม่สามารถเอากระเป๋าออกจากสนามบินได้

คุณเกื้อบอกว่า ตามที่เข้าใจ ว่าของใช้ส่วนตัว ไม่จำเป็นต้อง declare เพราะเราใช้มันเป็นอยู่ประจำ และเพื่อนสาวก็มาเที่ยวแค่สองอาทิตย์ ไม่ได้ย้ายกลับมาอยู่เลย สิ่งที่สำคัญ คือ เพื่อนสาวไม่ได้หลีกเลี่ยงการเสียภาษี แต่มาตรการของกรมศุลกากรไม่เคลียร์ ว่ากระเป๋าแบรนด์เนมใบนี้เป็นของซื้อมาใหม่ หรือของเก่าผ่านการใช้งานมาแล้ว เพราะหลายคนก็จะใช้กระเป๋าแบรนด์เนมแบบทะนุถนอม จนดูเหมือนใหม่ * คุณเกื้อยังตั้งคำถามกับกรมศุลกากร อีกว่า ถ้ากลัวจะเอามาขายต่อ ทำไมไม่มีมาตรการว่า หากออกจากประเทศด้วยกระเป๋าใบเดิม จะคืนเงินที่เสียภาษีให้ หรือไม่ก็มีมาตรการให้ฝากไว้ที่สนามบินแล้วมารับกลับตอนกลับก็ได้

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/4X77dglLLvI