ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ราคาน้ำมันดิบในการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ในสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปรับขึ้นแตะที่ราคาสูงสุดตั้งแต่ปี 2014 ทีเดียว

โดยราคาได้ปรับเพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ +1.7% ไปปิดที่ 78.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ โดยในระหว่างการซื้อขายนั้นราคาพุ่งขึ้นไปมากกว่า 2% ด้วย

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือที่ตลาดลอนดอน ปรับขึ้นไป 1.30 ดอลลาร์ หรือ +1.60% ไปปิดที่ 82.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ และในระหว่างการซื้อขาย ราคาก็พุ่งไปแตะที่ 83.13 ดอลลาร์ เป็นราคาสูงสุดในรอบ 3 ปี

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วมากกว่า 50% โดยปัจจัยหลักนั้นเป็นผลมาจากที่กลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งก็คือสมาชิกผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปก และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกนั้น

ยังคงยึดในมติเดิมที่จะเพิ่มการส่งน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกที่ 4 แสนบาเรลล์ต่อวันเท่านั้น จนถึงเดือนเมษายน 2022 ซึ่งหมายความว่า ปริมาณน้ำมันจะไม่เพิ่มในระดับตามความต้องการของน้ำมันโลกที่มีความต้องการมากขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากโควิด

โดยล่าสุด ทางด้านรัฐบาลชาติสมาชิกสหภาพยุโรป มีกำหนดประชุมหารือในสัปดาห์นี้ถึงการแก้ปัญหาว่าวิกฤตราคาพลังงานจำเป็นต้องใช้มาตราการรับมือร่วมหรือไม่ โดยผู้นำสหภาพยุโรปจะหารือร่วมกันถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น

นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก อันแดรย์ บาบิช กล่าวในหนังสือต่อผู้นำสหภาพยุโรปคนอื่นๆก่อนหน้าการประชุม “สถานการณ์เริ่มหนักหน่วง ราคาที่สูงนั้นทั้งเป็นภัยคุกคามต่อศักยภาพการแข่งขันของเศรษฐกิจยุโรป และยังส่งผลกระทบอย่างสูง ต่องบจับจ่ายของเหล่าผู้บริโภครายย่อยและครัวเรือน”

ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ได้แบ่งแยกชาติสมาชิกต่อการรับมือและทำให้เป็นปัญหาว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ สหภาพยุโรปจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงด้วย