เพื่อนร่วมรุ่นเผย ผกก.โจ้ คล้ายป่วยไบโพลาร์ - เผยผลชันสูตรพบเหยื่อขาดอากาศดับ

สังคม

เพื่อนร่วมรุ่นเผย ผกก.โจ้ คล้ายป่วยไบโพลาร์ - เผยผลชันสูตรพบเหยื่อขาดอากาศดับ

โดย thichaphat_d

31 ส.ค. 2564

329 views

เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ทีมพนักงานสอบสวนในคดี นายแพทย์ผู้ชันสูตรศพ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังจากตรวจที่เกิดเหตุบ้านกาแฟ โรงพยาบาลปลิ๊นปากน้ำโพ และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์


โดยนายสมพงษ์ กล่าว่า การทำคดีดังกล่าวจากนี้จะต้องมีการสอบร่วมระหว่างอัยการกับพนักงานสอบสวนก็เป็นไปตามกฎหมายเพราะว่าผู้เสียชีวิตเกิดจากการวิสามัญฆาตกรรม สำหรับพยานหลักฐานที่พบในขณะนี้พอจะยืนยันได้ว่าการกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาทั้ง 7 คนเป็นการฆ่าโดยเล็งเห็นผลให้ตาย


เพราะหลักฐานกล้องวงจรปิด หลักฐานอื่นๆ มีความชัดเจนว่าเล็งเห็นผลในการกระทำ วิธีการสอบสวนผู้ต้องหาผิดวิธี ผิดกฎหมาย จะอ้างต้องการขยายผลเรื่องยาเสพติดฟังไม่ได้ เพราะพฤติกรรมใช้ศาลเตี้ย แค่ถุง 2 ถุงคลุมศรีษะก็ตายได้นี่เอาถุง 5-6 ใบคลุมและยังมัดแน่นอีก


“ขอให้มั่นใจว่าพนักงานอัยการจะสอบสวนร่วมด้วยในคดีนี้ เพราะคดีวิสามัญกรรมพนักงานอัยการต้องร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนในคดีวิสามัญฆาตกรรมและแล้วเสร็จภายในเวลาอันควรไม่นานนัก”


ด้านนายแพทย์ ณัฐพงษ์ ตุลาพันธุ์ แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ เปิดเผยว่า หลังรับศพผู้เสียชีวิตมาตรวจพิสูจน์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อตรวจศพโดยละเอียด ตัดชิ้นเนื้อศพตรวจพิสูจน์ไว้หมดแล้ว ประกอบกับมาทราบบริบทอื่นเรื่องคลิป การตรวจที่เกิดเหตุ และสภาพแวดล้อมหลายอย่าง ข้อมูลเพิ่มเติมนำมาประกอบ


หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าผู้ตายเสียชีวิตจากการขาดอากาศเพราะว่ามีถุงคลุมศรีษะ ผู้ตายถูกกระทำหลายอย่างถูกคลุมด้วยถุงมากกว่า 6 ชั้น โดยชั้นในสุดจะแนบประกบทำให้ขาดอากาศ ผู้ตายถูกกดลำคอพับลงหายใจยากขึ้น นั่นหมายความว่ากระบวนการหายใจหายใจไม่ออกจากถุงครอบระยะเวลานาน 6 นาที เริ่มขันชน็อคมากกว่า 6 นาที การกระทำขนาดนั้นแม้ว่าในร่างกายผู้ตายจะมีสารเสพติดในตัว แต่การกระทำเช่นนั้นก็ตายได้ สรุปการเสียชีวิตเกิดจากการขาดอากาศหายใจ


นอกจากนี้ พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช รองจเรตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย เข้าแจ้งข้อกล่าวหาทางวินัยร้ายแรงกับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผกก.สภ.นครสวรรค์ กับพวก รวม 7 คน ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547


ผู้บัญชาการเรือนจำกลางพิษณุโลก ไม่อนุญาตให้คณะกรรมการเข้าไปสอบปากคำในแดนคุมขัง ตามมาตรการป้องกันโควิค แต่ให้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ บริเวณห้องพบทนายความ ผ่านใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ แทน


โดยคณะกรรมการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหากับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กับพวก ว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้ต้องหาคดียาเสพติดเพื่อเรียกรับเงินจํานวน 2 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้นายจิระพงศ์เสียชีวิต โดยอ้างเหตุว่าผู้ต้องหาเสพยาเสพติดเกินขนาด และต่อมาถูกดําเนินคดีอาญาซึ่งศาลจังหวัดนครสวรรค์ได้ออกหมายจับในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ,


ข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใดโดยใช้กําลังประทุษร้าย และข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทําทารุณโหดร้าย อันเป็นการกระทำผิดวินัย ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 ซึ่งมีโทษไล่ออกจากราชการ


มีรายงานว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กับพวก ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยยังไม่ขอให้การในรายละเอียด เพื่อรอพบทนายความก่อน แล้วจึงจะให้การในภายหลัง


และในวันเดียวกัน ที่สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 พร้อมคณะ พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ รองผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ทีมพนักงานสอบสวนในคดี แพทย์ผู้ชันสูตรศพ และฝ่ายปกครองโดยนายอำเภอเมืองนครสวรรค์ ร่วมประชุมหารือวางแนวทางการทำสำนวนคดี เพื่อให้เกิดความโปร่งใส


โดยจะนำสำนวนคดี พร้อมผลชันสูตรที่ได้รับจากโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ มาประกอบสำนวนเพื่อวางแนวทางร่วมกัน โดยใช้เวลานานกว่า 40 นาที จากนั้นคณะรองอธิบดีอัยการภาค 6 เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุยังบ้านกาแฟ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ และจุดที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน ซึ่งเป็นตามกฎหมายที่ระบุว่าการชันสูตรผู้เสียชีวิตผิดธรรมชาติฝ่ายปกครอง อัยการ หมอ ตำรวจ จะต้องทำงานร่วมกัน


พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. คณะทำงานพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า ผลชันสูตรศพฉบับเต็มถึงมือทีมพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นการเสียชีวิตของเหยื่อ ชี้ชัดว่าเกิดจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนสารเสพติดก็พบมีอยู่บ้าง แต่สรุปภาพรวม ไม่ใช่สาเหตุการตายจากการเสพยาเสพติด ชัดเจนว่าขาดอากาศหายใจ ขณะนี้สอบพยานหลายปากแล้ว นอกจากนี้จะโอนคดีทั้งหมดไปยังส่วนกลาง รวมถึงผู้ต้องหาด้วยจะต้องย้ายไปควบคุมตัวยังเรือนจำกลางต่อไป ตามขั้นตอนของกฎหมาย


ทั้งนี้มีกระแสข่าวว่า มีรายงานจากตำรวจภูธรภาค 6 พบว่า ผกก.โจ้ มีอาการป่วยด้วยลักษณะ คล้ายคนสองบุคคลิก หรือไบโพล่าร์ โดยมีการกินยาและรักษามานานแล้ว ซึ่งยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด ทีมข่าวได้สอบถามเพื่อนร่วมรุ่น คนสนิทกับผกก.โจ้ ระบุว่า อาการของผกก.โจ้ คล้ายกับคน 2 บุคคลิกจริง โดยบางครั้งหนึ่งหากเสียใจก็ร้องไห้ปล่อยโฮ ต่างจากคนปกติ ถ้าโกรธ ก็โกรธมาก โมโหมาก ก็เหมือนกับพฤติกรรมที่ทำกับลูกน้อง หากลูกน้องทำให้โกรธ ไม่พอใจ ก็โดนลงโทษทันที ทั้งการสั่งขัง สั่งย้าย


ซึ่งกรณีการป่วยไบโพลาร์นี้ ยังไม่มีเอกสารยืนยันจากทางการแพทย์และประวัติรักษา มีเพียงกระแสข่าวเท่านั้น 


นอกจากนี้ มีรายงานว่า เบื้องต้นการทำคดี ผกก.โจ้ จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องหาจนเสียชีวิต เรื่องนี้ทางกองปราบเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ตั้งแต่การจับกุมคดียาเสพคิด จนไปถึงเหตุ ทำให้ผู้ต้องหาเสียชีวิต การจับกุม


และเรื่องที่2. คือ การตรวจสอบเส้นทางการเงิน และที่ไปที่มาทรัพย์สินต่างๆ ของ ผกก.โจ้ ให้ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เป็นผู้ดำเนินการ เป็นผู้ตรวจสอบ


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบหรือ บก.ปปป. กล่าวว่า ได้รับการประสานจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เช้ามาช่วยกรณี ความผิดที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


โดย หลักๆตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบกรณีรถหรูที่ ผกก.โจ้ ลักลอบนำเข้ารถจากมาเลเซีย โดยมีรายงานว่า การนำเข้ามา จนสู่การจับกุม ผิดปกติ ลักษณะคล้ายกับการ และปั้นคดี และมีการนำรถที่จับมาได้ ส่งให้กรมศุลกากรนำไปขายทอดตลาดจนได้เงินรางวัลนำจับ


มีรายงานว่า การปั้นคดีนี้ มีคนรู้จักและพรรคพวกกลุ่มซื้อขายรถหรู ที่สนิทสนมกับ ผกก.โจ้ มาประมูลซ้อนอีกทีเพื่อนำไปขายต่อเก็งกำไร ส่วนนี้มีข้อมูลบางส่วนแล้ว อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดบ้างก็จะดำเนินคดี ส่วนกรณีการตรวจสอบที่ไปที่มาของปมทุจริตจับรถหรู มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไม ผกก.โจ้ ถึงสามารถปั้นคดีจับรถหรูส่งให้กับทางกรมศุลกากรได้ถึงกว่า 300 คัน


กรณีนี้ก็ต้องตรวจสอบว่า มีเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ซึ่งจะมีการย้อนตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดจริง ก็จะมีการเชิญมาสอบปากคำ


และกรณีของพระอานนท์ ธมมชโชโต เดินทางมาให้กำลังใจ ผกก.โจ้ และให้สัมภาษณ์ว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้คิดสั้น และมองว่าการกระทำของ ผกก.โจ้ ทำตามหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด


ล่าสุดทางวัดออกประกาศ ให้พระอานนท์ ออกจากวัด โดย ตรวจสอบแล้วพบว่า พระอานนท์ สังกัด วัดไพรสณฑ์ศักดาราม อำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้มาขอพักอาศัยเพื่อเข้าศึกษาปริญญาตรี ได้ตั้งแต่ปี 2563 ได้ปฏิบัติตนประพฤติผิดทางโลกวัชชะ จึงเป็นที่ติเตียนไปทั่วคณะสงฆ์ที่ได้ออกเผยแพร่ทางสื่อต่างๆซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณสารูปอันควรแก่การประพฤติ


และได้ส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์โดยรวมในเขตพื้นที่ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์ภายในวัด เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงามดำรงไว้ซึ่งคุณงามแห่งสมณะนั้น ดังนั้นจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พศ 2505 พิจารณาให้ พระอานนท์ พ้นจากวัดภัทรสิทธารามตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/105h7ESW_rA

คุณอาจสนใจ

Related News