สถานการณ์ระบาดโควิด-19 วันนี้ (30 ก.ค. 64) ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสูงกว่า 17,000 คน เสียชีวิตเกิน 100 คน ในจำนวนนี้ มีผู้เสียชีวิตที่บ้านอีก 9 คน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข สรุปสถานการณ์เตียงล่าสุด ขณะนี้การครองเตียงอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 80 ส่วนของกรุงเทพมหานครร้อยละ 90 ซึ่งการขยายเพิ่มเตียงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากบุคลากรด้านสาธารณสุขมีจำนวนจำกัด และภาระงานล้นเกินกำลัง

โดยวันนี้ เกิดเหตุชายวัย 52 ปีคนหนึ่ง ผูกคอตายบนดาดฟ้าอพาร์ตเมนต์ ในซอยพุทธบูชา เขตทุ่งครุ หลังทราบว่าติดเชื้อโควิด19 มาตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมภรรยาและได้กักตัวอยู่ในห้อง แต่ไม่มีที่รับไปรักษา จึงพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่มารับกลับไปรักษาที่จังหวัดตากบ้านเกิด เจ้าหน้าที่นัดว่าจะมีมารับตอนตี 3 คืนที่ผ่านมา ภรรยาเล่าว่า แต่หลังจากแต่งตัวรอจน10 โมงเช้า ก็ไม่มีใครมา จึงเดินออกจากห้องไปคนเดียว กว่าจะพบก็เสียชีวิตแล้ว และล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปช่วยเหลือเบื้องต้นกับครอบครัวนี้แล้ว

ส่วนที่กระทรวงสาธารณสุข วันนี้เปิดแถลงข่าวออนไลน์ โดยนายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้การครองเตียงอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 80 ของทั้งประเทศ ส่วนของกรุงเทพมหานครการของเตียงประมาณร้อยละ 90 ซึ่งการขยายเพิ่มเตียงไม่สามารถทำได้เนื่องจากบุคลากรด้านสาธารณสุขมีจำนวนจำกัดและภาระงานก็ล้นเกินกำลัง ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาปรับรูปแบบ home isolation และ Community isolation ขึ้นมาเพื่อรองรับ กลุ่มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยข้อมูลเชิงสถิติที่ มีการคาดการณ์ล่วงหน้าจากสถานการณ์ขณะนี้ ว่าหากไม่มีมาตรการล็อคดาวน์อาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 40,000 รายต่อวัน ยอดสูงสุดประมาณวันที่ 14 กันยายน จำนวนผู้เสียชีวิตหากไม่มีมาตรการใดใดจะสูงถึงวันละ 600 คน ในช่วงวันที่ 28 กันยายน ดังนั้นมาตรการล็อคดาวน์ถือเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้

สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ วันนี้ 17,345 คน อาการหนัก 4,595 คน ใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,012 คน เสียชีวิต 117 คน เสียชีวิตที่บ้าน 9 คน รวมเสียชีวิต 4,679 คน

ส่วนแผนการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งได้รับบริจาคจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.54 ล้านโดส ทางกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า มีแผนกระจายให้ 4 ส่วน คือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นเข็มที่สาม ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 7 แสนโดส ตามรายชื่อที่ทางโรงพยาบาลส่งชื่อมา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 645,000 โดส

กลุ่มที่ 3 ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นวัคซีนบริจาค โดยเน้นเป็นกลุ่มผู้สูงอายุผู้ป่วยเจ็ดโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์รวมถึงคนไทยที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ นักเรียนนักศึกษา 150,000 โดส และสำหรับการกษาวิจัยโดยการอนุมัติของคณะกรรมการวิจัยจริยธรรม 5,000โดส ซึ่งวัคซีนล็อตแรกเริ่มฉีดในวันที่ 9 สิงหาคมนี้

และล่าสุดทางสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนให้ไทยเพิ่มอีก 1 ล้านโดส โดย มร.ไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ระบุว่า วัคซีนล็อตนี้จะรวมกับวัคซีนล็อตที่มาถึงไทยวันนี้ 1.5 ล้านโดส รวมเป็น 2.5 ล้านโดส ทั้งหมดเป็นวัคซีนที่ให้ไทยสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข

ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี รวมทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มอบวัคซีนให้ไทย โดยยืนยันว่าการกระจายวัคซีนขึ้นอยู่กับ คณะกรรมการด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต่อไป