เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ได้นำตัวอย่างชั้นดินและน้ำ ภายในโรงงานรับกำจัดกากอุตสหกรรม ที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ไปตรวจสอบ หลังพบว่ามีการขุดดินเพื่อฝังกลบกากอุตสาหกรรมลึกลงไปใต้ดิน และล่าสุดผลตรวจออกมาแล้วพบโลหะหนักหลายประเภทปนเปื้อนอยู่ในชั้นดินและน้ำใต้ดิน บนเนื้อที่ประมาณ 23 ไร่ และยังพบว่าบริเวณที่มีการลักลอบฝังกลบกากอุตสหกรรม อยู่ในเขตป่าไม้

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ และศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม นำรถแบล็กโฮขุดลึกลงไปใต้ดินไม่น้อยกว่า 5 เมตร จนพบว่ามีการฝังกลบของกากสารเคมีทับถมกันหลายชั้น โดยชั้นบนสุดถูกปิดทับด้วยลูกรัง ขณะขุดพบมีควันระเหยและกลิ่นคล้ายของสารหลายชนิดผสมกันฟุ้งกระจาย หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนว่า บริษัทเอกอุทัย ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ลักลอบทิ้งสารเคมีด้วยการฝังกลบสารเคมีอันตรายลงใต้ดิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดินและน้ำบริเวณเนื้อที่กว่า 23 ไร่ พบว่าดินและน้ำที่อยู่ลึกลงไป 4-6 เมตรปนเปื้อนของสารโลหะหนักหลายชนิด ทั้งสารหนู, แบเรียม, แคดเมียม, โครเมียม, โคบอลท์, นิกเกิล, สังกะสี และสารอื่นๆ อีกหลายชนิด

นอกจากเจ้าหน้าที่พบการฝังกลบของสารโลหะหนักใต้ดินแล้ว ชุดปฏิบัติการหน่วยเฉพาะกิจพยัคฆ์ไพร ยังได้ตรวจสอบแผนที่ พบว่าบริเวณเนื้อที่ซึ่งมีการฝังกลบสารเคมี อยู่ในเขตป่าไม้ ซึ่งขณะนี้ได้ตรวจยึดพื้นที่แล้ว และฟ้องค่าเสียหายที่บุกรุกทำลายป่ากว่า 1 แสนบาท และค่าเสียหายต่อรัฐจากการลักลอบฝังกากอุตสหกรรมประมาณ 90 ล้านบาท แต่คดียังอยู่ระหว่างฟ้องร้อง

ขณะที่ อธิบดีกรมโรงงาน ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาติ ระบุว่า บริษัทเอกอุทัย ได้รับใบอนุญาตไม่มีวันหมดอายุ จนกว่าจะเลิกกิจการตามกฎหมายใหม่ ถ้าหากมีการรั่วไหลในพื้นที่ของโรงงาน ก็สั่งให้มีการแก้ไขปรับปรุง

หลังจากที่ กรมควบคุมมลพิษ มีผลการสรุปว่าคุณภาพของดินและน้ำ มีโลหะหนักปนเปื้อน ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงโรงงาน ซึ่งต้องใช้น้ำบาดาลในการอุปโภค บริโภควิต และทำการเกษตร เกรงว่าหากยังมีการลักลอบฝังกลบกากอุตสาหกรรม อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้คน