ประจวบคีรีขันธ์-กรณีของพลายขนุน ช้างป่าซึ่งได้รับบาดเจ็บ และรักษาต่อเนื่องยาวนาน 30 วัน ที่บ้านท่าวังหิน หมู่ 4 ต.เขาจ้าว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ล่าสุดได้ล้มแล้ว หลังเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนได้ร่วมรักษาอาการอย่างต่อเนื่อง

หลังการตายของช้างป่าตัวดังกล่าว ทีมสัตวแพทย์กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไม่ปักใจเชื่อว่า บาดแผลที่บริเวณหัวเข่าที่มีลักษณะคล้ายกระสุนปืนเพียงไม่กี่จุด จะเป็นสาเหตุการตายที่แท้จจริง จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 (ค่ายพระมงกุฏเกล้า) มาแสกนตรวจหาวัตถุ ด้วยเครื่องสแกนโลหะตามตัวช้าง ปรากฎว่าพบสัญญาณเตือนว่ามีโลหะตามตัวช้างป่าทั้งหมด 25 จุด

จากนั้นทีมสัตวแพทย์ได้ช่วยกัน ผ่าชันสูตรซากช้างป่า โดยพบกระสุนปืนรวม 43 เม็ด ได้แก่กระสุนปืนลูกซอง เบอร์12 (ลูก9) จำนวน 40 เม็ด ลูกกระสุนปืน ขนาด .22 อีกจำนวน 2 เม็ด และลูกปลาย จำนวน 1 เม็ด โดยพบกระสุน ทะลุกระดูกซี่โครง ซี่ที่ 7 และ ซี่ที่ 9 อีกจำนวน 2 เม็ด ส่วนกระสุนอีก 38 เม็ด กระจายอยู่หลายจุด ทั้งที่บริเวณงวง ใต้รักแร้ และลำตัว

ความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (11 ม.ค.) แหล่งข่าวระบุว่า กระสุนปืนจำนวน 43 เม็ด พบเป็นกระสุน 3 ขนาด นั่นแปลว่าบุคคลที่ก่อเหตุยิงช้างป่า ต้องมีไม่น้อยกว่า 2 คน แต่อาจจะเป็นคนละเหตุการณ์กันก็อาจเป็นได้ ประกอบกับลักษณะกระสุนปืนที่พบสภาพใหม่เก่าไม่เท่ากัน ซึ่งช้างป่าต้องถูกยิงมาก่อนหน้านี้ไม่น้อยกว่า 20-30 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้น ก่อนที่จะอักเสบจนต้องออกจากป่ามาให้คนเห็น

ส่วนพิกัดบาดแผลที่ถูกยิง พบอยู่บริเวณส่วนหน้าช้าง งวง ขาคู่หน้า และช่วงก้นของช้างป่า เป็นไปได้ว่าการยิงครั้งนี้อาจไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่การล่าในลักษณะนั่งห้างยิงเหมือนในอดีต แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่า ทำให้ต้องยิงป้องกันตัว หรือเป็นไปได้ว่าช้างป่าตัวดังกล่าวไปกัดกินทำลายพืชไร่ต่อเนื่องยาวนาน จนทำให้เกิดความโกรธแค้น จนต้องติดตามมายิงขับไล่ออกไปจากพื้นที่

อย่างไรก็ตาม สำหรับการตายของช้างป่าที่เป็นการตายด้วยเหตุผิดธรรมชาตินี้ จะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีในพื้นที่ สภ.ปราณบุรี เพื่อให้ติดตามบุคคลที่ก่อเหตุยิงช้างป่า มาดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากช้างป่า เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง สัตว์ป่า พ.ศ.2535

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/4qrRI7wX0q8