หญิงร้อง ฝากขาย 'โรเล็กซ์' ที่ร้านชื่อดัง แต่ไม่ได้เงิน พบผู้เสียหายกว่า 20 ราย

สังคม

หญิงร้อง ฝากขาย 'โรเล็กซ์' ที่ร้านชื่อดัง แต่ไม่ได้เงิน พบผู้เสียหายกว่า 20 ราย

โดย

5 ก.ค. 2563

2K views

สาวนักธุรกิจจัดหางาน ร้องทีมข่าวช่อง 3 หลังถูกร้านนาฬิกาหรูชื่อดังในวงการ ยักยอกนาฬิกาโรเล็กซ์ มูลค่ากว่า 6 แสนบาท ทำให้ได้รับความเสียหาย ขณะที่แจ้งความ สน.ประเวศ แล้วกลับไม่ได้รับการช่วยเหลือทางคดี และจากการรวบรวมตัวผู้เสียพบมีความเสียหายมากกว่า 10 ล้าน เตรียมรวมตัวร้องกองปราบ 9กรกฏาคม นี้
ช่อง 3 ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายรายหนึ่งว่า ถูกร้านนาฬิกาหรูชื่อดัง เป็นที่รู้จักในแวดวงคนเล่นนาฬิกาหรู ที่มีมูลค่าหลักแสนขึ้นไป หลอกให้นำนาฬิกาไปฝากขาย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้เงิน หรือคืนนาฬิกาที่ฝากไว้คืน นานกว่าครึ่งปี จนถึงตอนนี้ยังไร้วี่แวว ของนาฬิกาตนเอง ขณะที่ไปแจ้งความแล้วยังไม่ได้รับการช่วยเหลือทางคดีใดๆ 
โดยผู้เสียหายรายนี้คือ คุณปัณน์ อาชีพจัดหางานให้บริษัทต่างๆ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เมื่อช่วงเดือนตุลาปี 2562 พี่สาวมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการทำธุรกิจส่วนตัว จึงมีการนำนาฬิกาที่มีไว้มาออกขาย ซึ่งตนเองได้หวังดีช่วยนำนาฬิกา Rolex เรือนดังกล่าว ไปฝากไว้ที่ร้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในห้างหรูย่านถนนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นร้านดังที่คนในแวดวงนาฬิกาหรูทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนตัวรู้จักจากทางสื่อโซเชียลมีเดีย และยังเห็นว่าเจ้าของร้านมีการโพสต์ภาพทางไอจีส่วนตัวว่ารู้จักกับผู้บริหารบริษัทใหญ่ใหญ่ที่ตนเองรู้จักหลายท่าน ดูน่าเชื่อถือจึงตัดสินใจนำนาฬิกาของพี่สาวไปฝากขายไว้กับร้านดังกล่าว โดยมีการทำสัญญาว่าจะมีการฝากขายที่จำนวนเงิน 650,000 บาท ทางร้านขอระยะเวลาในการขายนาฬิกาหรูเรือนดังกล่าวสองเดือน ซึ่งก็ได้มีการทำสัญญาไว้ 
ก่อนที่ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ตนเองได้รับการติดต่อจากทางผู้ซื้อรายหนึ่ง ที่ตนเองเคยโพสต์ขายทางสื่อออนไลน์ไว้ก่อนหน้า ติดต่อเพื่อขอซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าว ตนจึงได้แจ้งไปว่ามีการนำไปฝากขายไว้กับร้านดังกล่าวให้ผู้ซื้อติดต่อเพื่อขอดูตัวเรือนและทำการซื้อผ่านร้าน แต่ต่อมาผู้ซื้อรายดังกล่าวกลับมาแจ้งกับทางตนเองว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวทางร้านแจ้งว่ามีการขายออกไปแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกแปลกใจ เพราะตั้งแต่ฝากไว้จนถึงตอนที่ผู้ซื้อติดต่อมาทางร้าน ไม่เคยมีการติดต่อมาแจ้งความคืบหน้าใดๆ ตนเองจึงเริ่มติดต่อกลับเพื่อขอถามถึงตัวนาฬิกา แต่ได้รับการตอบว่านาฬิกายังคงอยู่ที่ร้านยังไม่ได้มีการขายออกไปแต่อย่างใด 
เมื่อหมดสัญญา ตนเองจึงติดต่อไปเพื่อขอนาฬิกากลับคืน แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงตลอดมา โดยทางร้านอ้างว่ามีการรีโนเวทร้านใหม่ ไม่สะดวกให้เข้าไปรับนาฬิกาคืน ซึ่งก็มีการนัดหมายวันและเวลาใหม่ แต่ก็จะถูกเลื่อนมาโดยตลอด จนครั้งสุดท้ายมีการนัดว่าจะคืนนาฬิกาในช่วงวันที่ 11 มกราคม 2563 แต่เมื่อถึงเวลานัดก็ไม่ได้รับการคืนนาฬิกา และไม่เห็นแม้ตัวเรือนนาฬิกา โดยทางร้านอ้างว่าพนักงานมีการนำไปปัดเก็บริ้วรอย ซึ่งตนเองแจ้งว่าไม่ได้ยินยอมให้ทางร้านนำไปปัด จึงมีการเจรจาว่าทางร้านจะเป็นผู้รับซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวไว้เอง โดยจะขอแบ่งเป็นสองงวดจ่ายงวดละ 325,000 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 31 มกราคม และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยมีการทำหนังสือสัญญาใหม่อีกฉบับ แต่ผู้ที่เป็นคู่สัญญากลับเป็นผู้หญิงอีกคนซึ่งไม่ใช่เจ้าของร้าน ตนจึงทำการฉีกสัญญาและยกเลิกสัญญาไป และยืนยันว่าต้องการนาฬิกากลับ 
และตัดสินใจเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ในวันที่ 12 มกราคม ซึ่งในขั้นตอนของทาง สน. มีการดำเนินการในการออกหมายเรียกเจ้าของร้านและพนักงานที่เกี่ยวข้องเพียงครั้งเดียว แต่ผู้ถูกเรียกไม่เข้าพบตามนัดหมาย ซึ่งตนเองได้พยายามมติดต่อถามความคืบหน้าไปยัง สน.ประเวศ หลายครั้ง เกี่ยวกับการออกหมายเรียกครั้งที่สอง แต่ก็ไม่ได้รับการชี้แจงใดๆ 
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เจ้าของร้านนาฬิกาดังกล่าว มีการทยอยโอนเงินคืนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 5 ครั้ง เป็นวงเงินจำนวน 100,000 บาท ซึ่งตนเองได้พยามติดต่อกลับไปเพื่อแจ้งความประสงค์ว่าไม่ได้ต้องการเงินส่วนนี้ แต่ต้องการเงินเต็มจำนวนหรือนาฬิกาคืน ทั้งที่ยอมรับว่าไม่มั่นใจว่านาฬิกาจะยังอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่ เพราะจากการตรวจสอบสื่อโซเชียลมีเดียของทางร้าน จะเห็นว่ามีการนำอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงมีการบอกขายชิ้นส่วนอะไหล่ของนาฬิกาตนเองไปหลายครั้ง ทั้งมีการแยกขายกล่อง หรือสายนาฬิกา ซึ่งความเคลื่อนไหวของทางร้านค้าในสื่อโซเชียลมีเดีย ได้มีการนำภาพนาฬิกาของตนเองกลับมาโพสต์ขายใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในราคา 755,000 บาท ทำให้ตนมั่นใจว่านาฬิกายังคงอยู่ที่ร้านไม่ได้มีการบอกขายออกไป แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดทางร้านจึงไม่ยอมคืนนาฬิกาของตนกลับมา 
ซึ่งทางตนเองได้พยามรวบรวมผู้เสียหาย เพราะทราบมาว่าร้านดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทในลักษณะแบบนี้ในช่วงต้นปี จนทำให้เจ้าของร้านมีการปิดไอจีส่วนตัวและสื่อบางรายการออกไป ซึ่งตนเองสามารถรวบรวมมาได้ในรอบแรกประมาณ 20 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนอยู่ต่างจังหวัดที่มีทั้งผู้ซื้อและผู้ฝากขาย แต่ต่อมามีการพยายามเคลียร์ของทางเจ้าของร้านกับทางผู้เสียหายบางส่วน ทำให้มีการถอนตัวออกไป และขณะนี้เหลือกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 11 ราย มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท 
ยอมรับว่าจนถึงตอนนี้เครียดกับเหตุการณ์นี้มาก ถึงขั้นต้องเข้าพบจิตแพทย์ เพราะนอกจากเรื่องทรัพย์สิน ยังบานปลายไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างตนเองกับพี่สาว เพราะพี่สาวคิดว่าตนเองไม่ยอมนำเงินมาให้ ทำให้ต้องแยกตัวจากบริษัทเพื่อนำเงินมาให้พี่สาว รวมถึงตอนนี้ไม่มีความเชื่อมั่นในพนักงานสอบสวน สน. ประเวศ จึงมีการปรึกษาหารือกันระหว่างกลุ่มผู้เสียหาย ว่าจะรวมตัวกันเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามในวันพฤหัสที่ 9 กรกฎาคมนี้



สามารถรับชมทางยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/7CueVjYN0Yo

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ