เลือกตั้งและการเมือง
‘นายกฯอิ๊งค์’ ดีใจ ศาลรธน.ตีตกคำร้อง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ล้มล้างการปกครอง – ‘พิธา’ ชี้ศาล รธน.ทำถูกต้องแล้ว
โดย petchpawee_k
23 พ.ย. 2567
97 views
นายกรัฐมนตรี ยิ้มแก้มปริ ดีใจศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง ”ทักษิณ-เพื่อไทย“ ล้มล้างการปกครอง จากนี้เดินหน้าทำงาน พยายามมีสติ ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจ บอกไม่เกี่ยวลดแรงกระเพื่อมการเมือง
วานนี้ 22 พ.ย. 2567 หลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดคุยกับ น.ส.สุชาตา ช่วงศรี (โอปอล) รองมิสยูนิเวิร์ส 2024 ที่เข้ามาเยี่ยมคารวะ หลังเดินทางกลับจากการประกวดมิสยูนิเวิร์สที่เม็กซิโก ซึ่งระหว่างการถ่ายภาพร่วมกัน คณะทำงานของนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรี ว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง ทำให้นายกรัฐมนตรีตื่นเต้นดีใจ พร้อมถามว่า เสร็จแล้วหรอ จบแล้วหรอ และขอดูเนื้อหาจากโทรศัพท์มือถือของคณะทำงาน ก่อนจะหันไปบอกลาและรับไหว้จากน้องโอปอล
จากนั้นนายกรัฐมนตรี กลับมาดูรายละเอียดในโทรศัพท์มือถือต่อ พร้อมยิ้ม ก่อนตอบคำถามสื่อว่า จะสบายใจขึ้นใช่หรือไม่เพราะจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องมา รบกวนจิตใจในการทำงาน สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรี อมยิ้ม นิ่งคิดสักพักก่อนตอบว่า “ดีค่ะ กำลังงง เพราะเพิ่งอ่านข้อมูลเสร็จ ก็ดีค่ะ เพราะก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นข่าวดีอยู่ตลอดเวลา อันนี้ถือว่าเป็นข่าวดี ก็ดีใจ และจากนี้ไปจะเดินหน้าทำงานตามนโยบายต่างๆ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องทำต่อไปอยู่แล้ว ต้องแบ่งเรื่องให้ได้ว่าเรื่องของประเทศชาติก็ต้องรับผิดชอบ เรื่องของคุณพ่อก็ได้ให้กำลังใจ“
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญออกคำวินิจฉัยแบบนี้ ถือว่านายกรัฐมนตรี มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองมากกว่านายกรัฐมนตรี คนอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ทำงานจนครบวาระหรือไม่ นายกรัฐมนตรีได้ชี้ที่ตัวเองพร้อมย้อนถามกลับ ว่านายกคนนี้หรอ แล้วตอบว่าภูมิคุ้มกันทุกคนก็คงมี แต่แบบนี้ต้องใช้พลังใจเยอะ เราต้องพยามมีสติ ใช้หลักธรรมะเวลาดีใจก็ดีใจอย่างมีสติ เสียใจก็เสียใจอย่างมีสติ ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็พยายามมีสติ กำลังย่อยเนื้อหาของศาลรัฐธรรมนูญอยู่
เมื่อถามว่า การที่ นายทักษิณ ไปตอบคำถามบนเวที งาน Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 โดยระบุเคยอยู่มาแล้วทั้งนรกและสวรรค์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เห็นแต่รูปในงาน แต่ยังหาลิงก์ฟังไม่ได้ แต่คำนี้คุณพ่อพูดประจำ เขาบอกว่าเขาอายุ 70 กว่า ชีวิตนี้เห็นมาแล้วทั้งนรกทั้งสวรรค์
และเมื่อถามต่อว่า นายทักษิณได้พูดคุยปรับทุกข์หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คุณพ่อจะพูดว่าทุกวันนี้เขามีความสุข เขาได้กลับบ้าน ได้เจอลูกเจอหลาน ถ้าไม่สบายพวกเราก็ดูแลได้ เขาพูดว่าสมัยก่อนที่อยู่เมืองนอกไม่ทราบว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ แต่เขาพูดว่าทุกปีจะกลับ และจะพยายามไม่ป่วย ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะเวลาไม่สบาย ตอนเป็นโควิดหนักมาก ซึ่งช่วงนั้นตนท้องลูกคนแรกก็ไม่ได้เจอ ถือเป็นช่วงเวลาที่แย่ ก็เข้าใจเขา
ส่วนจะทำให้แรงกระเพื่อมทางการเมืองนิ่ง และอยู่จนครบวาระหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มันเป็นคนละเรื่องกัน แม้ว่าคุณพ่อจะเป็นพ่อของนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน แต่ก็ไม่เกี่ยวกัน การเมืองก็ต้องเดินหน้าต่อไป รัฐบาลก็ทำงานต่อไป แต่ก็เป็นเรื่องดี ”แต่ตัวคุณพ่อเองก็ดี เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ได้ถูกฟ้องร้อง ทำให้ทุกคนที่ให้กำลังใจท่านอยู่ก็รู้สึกโอเคขึ้น นิ่งขึ้น“
นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย จะทำให้ต่างชาติมั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาลมากขึ้น เหมือนกับที่ตนพูดเมื่อวานนี้ ว่าเสถียรภาพเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งตนยอมรับความเห็นที่แตกต่าง เพราะเราเป็นคนสาธารณะอยู่แล้ว และต้องพยายามทำงานให้ครบวาระ (นายกฯ พูดผิดว่า 4 ปี) เพราะในสายตาต่างชาติ เข้าใจว่าประเทศไทยถ้าจะให้อยู่ครบ 4 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่อยากให้คิดแบบนั้น ซึ่งในระบบเมื่อตั้งรัฐบาลแล้วควรทำงานให้ครบ 4 ปี อยากให้ทั่วโลกเข้าใจแบบนี้ เพราะนักลงทุนต้องคิดก็เหมือนเราที่เป็นนักธุรกิจถ้าจะเช่าร้านที่ไหนเรามีสัญญาปีต่อปีเราจะต่อสัญญาหรือไม่ก็ต้องคิดล่วงหน้า เพราะฉะนั้นความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลจึงจำเป็นมาก
---------------------
"พิธา" ลั่น ถูกต้องแล้ว ศาล รธน.ตีตกคำร้อง "ทักษิณ - เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครอง ชี้ล้มล้างการปกครองคือ รัฐประหาร - แบ่งแยกดินแดน - เปลี่ยนรูปแบบปกครอง ขอไม่มองย้อนอดีตครั้ง ย้ำมีแต่ปัจจุบัน-อนาคต ยันคำเดิม “ก้าวไกล” ต้องเป็นพรรคสุดท้าย ถูกยุบด้วย “องค์กรอิสระ”
วานนี้ 22 พ.ย. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่กล่าวหานายทักษิณ ชินวัตร และ พรรคเพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง ว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เหมือนกับที่เคยพูดตั้งแต่เมื่อครั้งพรรคก้าวไกลว่า การล้มล้างการปกครอง มี 3 รูปแบบ คือ การรัฐประหาร การแบ่งแยกดินแดน และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของรัฐ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะมีพรรคการเมืองไหน ที่จะถูกองค์กรใดยุบพรรคง่ายๆ
นายพิธา ยังระบุว่า ไม่ได้มองเป็นเรื่องนัยยะทางการเมือง แต่มองเรื่องหลักการ หากเป็นการกระทำอื่น ที่ไม่ใช่การรัฐประหาร การแบ่งแยกดินแดน และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของรัฐ ก็ไม่ควรมีโทษประหารทางการเมือง การยุบพรรค การตัดสิทธิ์ทางการเมืองเกิดขึ้น และก็ควรที่จะเสมอภาคกันทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่
เมื่อถามว่า มองพรรคก้าวไกลว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า พรรคก้าวไกลในขณะนั้น พยายามต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็คงไม่คิดหวนย้อนคืนไปในอดีต มีแต่ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็หวังว่า จะทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมย้ำว่า ตัวเองมีความหวังเหมือนที่พูดไว้เหมือนเดิมว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคสุดท้ายที่ถูกยุบด้วยองค์กรอิสระ หากจะให้พรรคการเมืองตาย ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของประชาชนที่ไม่เลือกแล้ว ตัวเองยังขอยืนยันคำพูดเดิม