เลือกตั้งและการเมือง

'ชัยธวัช' แฉพรรคร่วมรัฐบาล ติดต่อซื้องูเห่าเพียบ - 'พิธา' บอกความพยายามทำระบอบประชาธิปไตยฯหยุดนิ่ง-พัฒนาไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่อการปกครอง

โดย weerawit_c

3 ส.ค. 2567

58 views

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสวนดุสิตโพลฝ่ายค้านได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิม ว่า ต้องขอบคุณประชาชน ที่มองเห็นและสนันสนุน การทำงานของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งด้านหนึ่งมาจากผลการบริหารงานของรัฐบาลที่ประชาชนมองว่าอาจไม่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ แต่ฝ่ายค้านถือเป็นกำลังใจที่จะมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เพราะฝ่ายค้านปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นทำงานฝ่ายค้านแบบเดิมๆ แต่พยามยามทำงานอย่างสร้างสรรค์ ในการนำเสนอ เพราะฝ่ายบริหาร รวมถึงการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวมทั้งหมดที่ดีควรจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกันการจัดเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชนในวันนี้ไม่ใช่การวิพากย์วิจารณ์เฉพาะหน้า แต่เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องยกเครื่องระบบการจัดทำงบประมาณ เพื่อประโยชน์ประเทศไม่ใช่รัฐบาลใด รัฐบาลหนึ่ง


ส่วนหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง มีรายงานข่าวว่า สส พรรคก้าวไกลกว่า 10 คนจะโหวตให้พรรคพลังประชารัฐ นั้น นายชัยธวัช ระบุว่า เรื่องนี้พูดกันไปได้ แต่มันยังไม่เกิด พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมามีควาพยายามจากพรรคร่วมรัฐบาลพ ยายามมาติดต่อ สส.พรรคก้าวไกล เยอะมากเพื่อหวังดึง สส.เหมือนที่เราเรียกกันว่าซื้องูเห่า จนถึงวันนี้ตนยังมีความมั่นใจในตัว สส.ก้าวไกล ว่าจะเคารพความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งตนมองว่าข่าวที่เกิดขึ้นเป็นการพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิด และในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ตนก็ยังมีความมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะชนะคดี


นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ได้มีการกำชับ สส.ให้ผนึกกำลังกัน เพื่อไม่ให้เกิดงูเห่าแต่อย่างใด ตนแค่สื่อสารในพรรคว่า เราต้องให้เกียรติเพื่อนรรวมงานทุกคน อย่าทำให้เกิดบรรยากาศจับผิดว่าใครจะเป็นงูเห่า ใครจะย้ายพรรค เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน พร้อมกันนี้ยืนยัน สส.ในพรรคไม่อ่อนไหว และกำลังใจยังดีต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ยังเดินหน้าทำงานตามแผนงานและเป้าหมายที่วางไว้ทุกวันปกติ


ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงเนื้อหาและ สรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดี ที่พรรคก้าวไกลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรค วันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยใช้เวลารวมทั้งสองคนกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที


นายชัยธวัช ได้แถลงย้ำถึง 9 ข้อต่อสู้ ทั้งในแง่ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ในคดียุบพรรคว่า พรรคก้าวไกลยืนยัน ว่า


1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

2.การยื่นคำร้องนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้

4.นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 แล้ว การกระทำอื่นตามคำร้อง มิได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล

5.การกระทำตามที่ กกต.กล่าวหา มิได้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

6.ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล

7.แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค

8.การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคต้องพอสมควรแก่เหตุ และ

9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด


นอกจากนี้ หากพิจารณา คำวินิจฉัย 3/2567 โดยละเอียด เป็นเพียงการสั่งให้เลิกกระทำเท่านั้น มิได้ให้พรรคก้าวไกลยกเลิกนโยบายเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำ เนื่องจากหากศาลเห็นเป็นเช่นนั้น ก็ควรที่จะมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการนำเสนอนโยบายนี้ด้วยในอนาคต


นายชัยธวัช เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล เพราะการยุบพรรค ควรเกิดขึ้นเมื่อไม่มีมาตรการอื่นที่จะยับยั้งการกระทำที่รุนแรงได้อย่างทันท่วงทีแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายหลักการระบอบประชาธิปไตย ยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกล ไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงถึงขนาดที่จะต้องยุบพรรค และไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องสั่งยุบพรรคก้าวไกลอีกต่อไป ยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีสถานะยิ่งกว่าวิญญูชน ซึ่งต่างเคยเห็นมาก่อนว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นการกระทำที่ขัดกับมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง


สุดท้าย แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด ซึ่งหากจะมีการจำกัดสิทธิ ก็ต้องเป็นกระทำตามกฏหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น


โดยเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญประกอบกับหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวางหลักเอาไว้ จึงไปจำกัดสิทธิ์และตัดสิทธิ์ไม่ได้ เพราะต้องกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น และหากศาลเห็นว่ามีอำนาจกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง แต่การกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ตามที่ กกต. ร้องขอ


นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวปิดคดียุบพรรค ว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคที่เคยถูกยุบในอดีต ไม่มีระเบียบข้อบังคับ กฎหมายของกกต.ในการรวบรวมพยานหลักฐานในการยุบพรรค โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรกที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้น จึงเป็นเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกล กับคดีของพรรคอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา


หลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นความจงรักภักดี เข้ามากล่าวหาโจมตีทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการทำรัฐประหารโดยกำลังทหารและกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกินเพื่ออำพรางการแสงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองของยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ซึ่งสังคมไทยในอดีตอาจไม่คุ้นเคย แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต  และพยายามแสดงหากุศโลบายด้วยสติปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดและสร้างฉันทามติใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย  กลับเลือกที่จะใช้อำนาจกดประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการบังคับใช้ กฎหมาย ม.112 อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน


สืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว สส.พรรคก้าวไกลจึงเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ม.112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างสมดุลใหม่ที่ได้สัดส่วน ระหว่างการคุ้มครองพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุขกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


https://youtu.be/Ssy3uCo1Ff0

คุณอาจสนใจ

Related News