เลือกตั้งและการเมือง

ผลโพลชี้ ‘เพื่อไทย’คะแนนนิยมลดฮวบ - ‘ก้าวไกล’ พุ่งพรวด ‘ดร.เรือบิน’ ชี้เลือกตั้งครั้งหน้า ได้แน่ 250 ที่นั่ง

โดย petchpawee_k

26 ส.ค. 2566

1.2K views

วานนี้ ( 25 ส.ค.)  มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote) เปิดเผยผลการวัดคะแนนนิยมหลังจากการเลือกตั้งเพื่อประเมินความพึงพอใจและการตอบสนองความคาดหวังของประชาชนจากแต่ละพรรคการเมืองภายหลังได้รับเสียงเลือกจากประชาชนไปแล้ว ในประเด็นที่ว่า “หากมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในวันนี้ คุณจะเลือกพรรคใด”  จำนวน 1,253 ตัวอย่าง


ค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 พบว่าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งสูงสุด 6 อันดับแรก มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของคะแนนนิยมเฉลี่ย (เฉลี่ยจากผลการเลือกตั้ง 2566 ของแต่ละพรรค)  จากเพิ่มขึ้นไปน้อยลงตามลำดับดังนี้


  • พรรคก้าวไกล คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 62.39
  • พรรคภูมิใจไทย คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.50
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 0.84
  • พรรคพลังประชารัฐ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 6.02
  • พรรคประชาธิปัตย์ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 9.96
  • พรรคเพื่อไทย คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 62.24


ซึ่งการที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของคะแนนนิยมเฉลี่ยมากที่สุดนั้น เกิดจากการที่ได้มีโอกาสสลับกันเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก โดยคะแนนนิยมที่ลดลงของพรรคเพื่อไทยร้อยละ 51.32 ได้ไหลไปหาพรรคก้าวไกล ในขณะที่ร้อยละ 10.92 ได้ไหลไปหาพรรคอื่นๆ



ทั้งนี้ โพลคะแนนนิยมเฉลี่ยหากมีการเลือกตั้งใหม่วันนี้ จะเลือกพรรคใด โดย พบว่า ก้าวไกล 49.05% เพื่อไทย 10.65% น้อยกว่าภูมิใจไทยที่ 14.69% พลังประชารัฐ 7.52% รวมไทยสร้างชาติ 7.14% และประชาธิปัตย์ 4.50%


ทั้งนี้ ทางศูนย์สำรวจความคิดเห็นศรีปทุม-ดีโหวต ยังได้ทำการสำรวจเบื้องต้นในประเด็นต่างๆ ระหว่างวันที่ 17-24 ส.ค.2566 โดยในประเด็น “คุณคิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรกหรือไม่? ” 


- ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 58.79 ระบุว่า “เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรก เป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วระหว่างเพื่อไทยและขั้วรัฐบาลเดิม”


- ร้อยละ 25.20 ระบุว่า  “ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรก เมื่อการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคถึงทางตัน จึงต้องปรับแผนด้วยการข้ามขั้ว”


- ร้อยละ 16.02 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”


สำหรับผู้ตอบว่าเกิดจากความตั้งใจแต่แรกถึงเหตุผลที่คิดว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงตั้งใจวางแผนจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วนั้น


- ร้อยละ 36.52% ระบุว่า “เพราะคิดว่าการให้ก้าวไกลร่วมรัฐบาลและได้มีโอกาสทำผลงาน จะส่งผลเสียต่อความนิยมของเพื่อไทยในอนาคต”


- ร้อยละ 28.52 ระบุว่า “เพราะคิดว่าการมีก้าวไกล ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลไม่มีทางสำเร็จ”


- ร้อยละ 22.07% ระบุว่า “เพราะคิดว่าการมีก้าวไกล ถึงจะตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่ไม่นานก็ถูกกลุ่มอำนาจเก่าล้มอยู่ดี”


- ร้อยละ 12.89 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”


สำหรับประเด็น “นโยบายรัฐบาลเพื่อไทยข้อใดที่คุณอยากให้ทำสำเร็จมากที่สุด 3 อันดับแรก”


- ร้อยละ 40.41 ระบุว่า “ค่าแรง 600 บาทต่อวัน เงินเดือน ป. ตรี 25,000 บาท”


- ร้อยละ 39.95 ระบุว่า “กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท”


- ร้อยละ 37.47 ระบุว่า “ปรับลดราคาพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้า”


- ร้อยละ 32.51 ระบุว่า “จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร” และร้อยละ 23.70 ระบุว่า “ปฏิรูประบบราชการและทหาร”


โดยกลุ่มตัวอย่างระบุเพิ่มเติมว่าหากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลสามารถทำนโยบายดังกล่าวได้สำเร็จ ในการเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสจะเลือกพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาล


-ร้อยละ 27.31 ระบุว่า “เลือกแน่นอน”

- ร้อยละ 24.15 ระบุว่า “อาจจะเลือก”


ขณะที่ “ดร.เรือบิน” ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ นักธุรกิจ และนักวิชาการด้าน Data Science โพสต์ข้อความระบุว่า


  "ต้นทุนที่จ่ายไปแล้ว" สำหรับ #เพื่อไทย ในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้คือ -62.25% โดยคะแนนนิยมที่ลดลงของพรรคเพื่อไทย 51.32% ได้ไหลไปหาพรรคก้าวไกล ในขณะที่ร้อยละ 10.92% ได้ไหลไปหาพรรคอื่น ๆ  ซึ่งหากมีการเลือกตั้งใหม่ ณ วันนี้เลย เพื่อไทยจะเหลือประมาณ 53 ที่นั่งในสภา แต่ยังมีโอกาสที่จะทำผลงานซึ่งต้องโฟกัสให้ดีทั้งด้านเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และการปฏิรูปข้าราชการ โดยอาจทำให้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นได้ระหว่าง 30-60% ครับ



ในส่วนของ #ก้าวไกล ความนิยม ณ วันนี้ก็พุ่งขึ้น +62.38% หรือเกือบแตะระดับ 250 เสียงแล้ว ความหวังที่ครั้งหน้าจะได้เกิน 250 ที่นั่ง (ถ้ารัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ได้แก้ไขให้มีกลไกที่จะลดคะแนนก้าวไกลลง) จึงมีความเป็นไปได้สูงมากหากยังสามารถรักษาจุดแข็งของพรรคที่สำคัญสำหรับมวลชนต่อไปครับ


https://youtu.be/WGcqGigyOQE

คุณอาจสนใจ

Related News