เลือกตั้งและการเมือง

'ชัชชาติ' ฝากรัฐบาลใหม่ ทบทวน กม.ภาษีที่ดิน หลังเก็บห้างใหญ่ได้ลดลง 10 เท่า

28 พ.ค. 2566

3K views

เมื่อวันที่ 27 พ.ค.66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกิจกรรม ผู้ว่า กทม. สัญจร เขตพญาไท เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบาย ผลการดำเนินงานตาม Application Traffy Fondue และปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสำนักงานเขต


ผู้ว่าฯชัชชาติ ฝากถึงสภาใหม่ ทบทวนผลกระทบนโยบายการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยระบุว่า เรื่องที่จะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก คือเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดิมการเก็บภาษีโรงเรือนจะคิดจากรายได้ 12.5% เพื่อมาเป็นรายได้ของเขต แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรูปแบบภาษีใหม่โดยคิดตามมูลค่าที่ดิน


ยกตัวอย่างเขตพญาไท ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 300 ล้านบาท เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะคาดว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมาก แต่พบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า


หรืออาคารสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมเสียภาษีกว่า 11 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เหลือเพียง 7 แสนบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน และยิ่งเป็นอาคารเก่าก็ต้องคิดค่าเสื่อมเพิ่มไปอีก ในขณะที่ห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 แสนบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่าทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง


"แต่ก่อนมีการคิดห้างนี้ขายของเท่าไหร่ ค่าเช่าที่เท่าไหร่ เก็บ 12.5% แต่พอเปลี่ยนมาเป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปุ๊บ ไม่คิดตามรายได้แล้ว คิดตามมูลค่าที่ดินแปลงนี้เท่าไหร่ อาคารเก่าก็จะมีค่าเสื่อม สรุปเป็นภาษีที่ดินฯ ลดลงไปเหลือแค่ 10% เอง" นายชัชชาติ กล่าว


นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า อาคารสำนักงานแห่งหนึ่งในเขตพญาไท เดิมเสียภาษี 11.49 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 3.72 ล้านบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน รวมถึงยิ่งเป็นอาคารเก่ามีค่าเสื่อมเยอะ ทำให้มูลค่าลดลงอีก ในขณะที่ห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4.35 ล้านบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7.68 หมื่นบาท รายได้หายไป 4.28 ล้านบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในอาคารห้องเช่า จึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยทำให้เสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง


ซึ่งเขตในตัวเมืองมีการจัดเก็บภาษีได้น้อยลง เพราะในเมืองมีสถานประกอบการเยอะ แต่เขตในชานเมืองเก็บภาษีได้มากขึ้น เพราะชานเมืองที่ดินหลายแปลงเป็นที่คนอยู่อาศัย กลายเป็นว่าคนที่มีที่ดินพร้อมบ้านพัก กลับกลายเป็นว่าอาจจะต้องเสียภาษีเยอะขึ้น ทั้งที่ไม่ได้สร้างรายได้ บางคนถือที่ดินเปล่าที่พ่อแม่ให้มาส่งให้ลูกหลาน แต่ก่อนไม่ต้องเสียภาษีเพราะไม่มีรายได้ แต่พอมาเป็นภาษีที่ดินฯใหม่ต้องจ่ายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย


"จะเห็นได้ว่าต้องฝากถึงรัฐบาลและสภาชุดใหม่ ไปช่วยทบทวนว่าการทำแบบนี้มีผลกระทบอย่างไร เป็นจุดที่เราจะลดความเหลื่อมล้ำได้จริงไหม" รวมถึงเงินที่ติดค้างให้กับท้องถิ่น จากการลดภาษีที่ดินฯ 90% ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และในปีนี้ที่มีการลดอีก 15% ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ลดภาระของประชาชน แต่เอาเงินของท้องถิ่นไปช่วย ถ้าอนาคตรัฐบาลคืนเงินนี้ให้ท้องถิ่นได้ ท้องถิ่นจะมีเงินไปบริหารตามหลักกระจายอำนาจได้มากขึ้น


"ตามอัตราปกติจัดเก็บได้ 2 หมื่นล้านบาท หายไป 1.8 หมื่นล้านบาท 2 ปี 3 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ท่านให้คืนมาพันกว่าล้านบาทเอง กทม.อาจจะไม่ได้มีปัญหามาก แต่ท้องถิ่นเล็กๆ ที่เขาไม่มีรายได้อื่น กทม.ยังมีรายได้อื่น ๆ จากภาษี VAT มาช่วย ต้องฝากรัฐบาลช่วยดูตรงนี้ด้วย เพราะถ้าเราจริงใจกับการกระจายอำนาจ ก็ต้องให้ทรัพยากรมาช่วยด้วย" นายชัชชาติ กล่าว



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/YkecPd87W6c

คุณอาจสนใจ

Related News