เลือกตั้งและการเมือง

'อุ๊งอิ๊ง' ลั่น 'เพื่อไทย' จะสู้เคียงข้าง ปชช.แม้เคยถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง - 'เศรษฐา' ประกาศขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

โดย weerawit_c

13 พ.ค. 2566

151 views

วานนี้ (12 พ.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวบนเวทีปราศรัยที่อิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานีช่วงหนึ่ง ถึงการต่อสู้กับการรัฐประหารว่า อย่าเอามาถามกันเลย คำว่าสู้ไม่สู้ อย่าเอามาขิงกันเลย ว่าใครสู้จริงสู้กว่า ก็พวกที่นั่งอยู่ในนามพรรคเพื่อไทยสู้จริงเจ็บจริงตายจริง ติดคุกจริงๆ บ้านแตกสาแหรกขาดจริงๆ มี บาดแผลมากมายในการต่อสู้ แผลในกายไม่เป็นไรแต่แผลในใจอย่าให้มันปริแยกเลย เรื่องจะสู้ไม่สู้ดูกันยาวยาวก่อนก่อนจะกล่าวติดตลกว่าจะนิ่งพี่กลิ้งมาก่อน



“พี่ไม่ได้ไปยืนหน้าสภาหรอกตอนที่เขายึดอำนาจ มันเอาเอ็ม 16 มาจี้หัวพี่ตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว ถ้าพีไปได้ไปแล้วมันคงได้ถ่ายเซลฟี่สนุกดี แต่ในโลกของความเป็นจริงมันเอาเอ็ม 16 มาจี้หัวพี่ มันเอาพี่ไปขัง แล้วมันเอาทหารไปเฝ้าบ้านพี่ 24 ชั่วโมง แล้วจะพี่ทำยังไง”



นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ตนไม่เคยรู้สึกเป็นปัญหาเรื่องใครจะเดินเข้ามาในกระบวนการต่อสู้ ยิ่งมามากยิ่งดี พรรคเพื่อไทย ถูกตั้งคำถาม ว่าเดี๋ยวนี้เดินช้า ว่าไม่สู้แล้ว ไม่เอาแล้ว ล้าหลังไม่กล้าหาญ แต่ที่เดินอยู่แบบนี้ไม่ใช่ไม่สู้ไม่ใช่มีกล้าหาญแต่เพราะมันเจ็บมามาก เลือดมันไหลน้ำตามันไหล มันผ่านความยากลำบาก เจ็บปวดมามากมายแต่ไม่เคยคิดจะหยุดสู้ ไม่เคยคิดจะหยุดฝันและอยู่กับความจริงทุกวัน และคอยบอกให้เข้าใจตรงกัน เมื่อใดก็ตามที่ ที่เกิดเหตุเพศภัยกับบุคคลฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อไทยและคนเสื้อแดงนี่แหละ จะเป็นคนแรกที่ออกไปยืนเคียงข้าง ไม่ว่าจะชื่ออะไรหรือพรรคไหน ถ้ายืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตยตนขอไปเสียงตายติดคุกเพื่อคุณ ดังนั้นถ้าจะถอนรากถอนโคนเผด็จการต้องเปลี่ยนรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งนี้



วันนี้เราเข้าใกล้เป้าหมายเต็มทีแล้ว ดังนั้นไม่ว่าวันนี้ท่านจะมีวิธีคิด เรื่องแนวทางประชาธิปไตยแบบไหน ท่านจะมีความสมัครรักชอบพรรคการเมืองไหน แต่ตนขอเสนอ ว่าต้องมองที่เป้าหมาย เป็นตัวตั้ง ถ้าเป้าหมายคือล้มเผด็จการ เพื่อปักธงประชาธิปไตย ถ้าเป้าหมายเดียวกันแบบนี้เรานับหนึ่งด้วยกันในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ไม่เช่นนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันนี้ไม่รอลุ้นอย่างอื่นแล้ว เพราะไม่ได้รอลุ้นคะแนนพรรครวมไทยสร้างชาติหรือพรรคพลังประชารัฐ แต่รอลุ้นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันจะซัดกันจนแทรกขึ้นมาได้



ดังนั้นเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องโง่เรื่องฉลาด และไม่ใช่เรื่องกล้าไม่กล้า แต่อยู่ที่ว่ามองปัญหาอย่างไร และคิดจะจัดการปัญหาอย่างไร เพื่อเราเจ็บมามากแล้ว เราบอบช้ำมามากแล้ว เราจึงมองว่า การจัดการกับปัญหารัฐเผด็จการแบบนี้ ต้องเดินทีละก้าวกินข้าวทีละคำ คำแรกที่เราจะอิ่มด้วยกันคือแลนด์สไลด์



“เราอาจจะไม่เคยชวนกันไปยืนหน้ารัฐสภาในการรัฐประหารทั้งสองครั้ง แต่เราอยากจะบอกว่า การไปยืนต้านรัฐประหารหน้าสภาไม่มีจริงแต่ถ้าจะทำให้เกิดผลจริง คือเมื่อเข้าสภาแล้วยืนต้านอย่าให้คนในพรรคเป็นงูเห่าเลื้อยออกมา ตนไม่ได้กระแทกแดกดัน แต่ทุกพรรคการเมืองมีทั้งของจริงและของปลอมปนกัน จะให้ตนยืนยันว่าเพื่อไทยของแท้ 100% ก็พูดไม่ได้ แต่จะให้เชื่อว่าพรรคไหนของแท้ 100% ต้นก็ว่าไม่จริง เวลาและสถานการณ์จะเป็นบทพิสูจน์”



คนที่จะมาซื้องูเห่า มาซื้อตอนเป็นรัฐบาล ตอนมีโอกาสและความหวังเพื่อไทยมาเกินครึ่งจะบ้าซื้อไปเป็นฝ่ายค้านทำไม เพราะฉะนั้นตัดเกมที่ตรงนี้ปิดฉากวันที่14 พฤษภาคมนี้ เช็คบิลแต่ไม่ใช่เลือกเพื่อความกลัวแต่เลือกเพื่อความชัวร์



นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า เรื่องราวการต่อสู้ของแต่ละบุคคล มันเก็บไว้กับตัว มันวัดกันไม่ได้ว่าใครสู้กว่าใคร ใครแน่กว่าใคร ซึ่งตนไม่ได้ต้องการประกาศว่าตนสู้กว่าใคร และ ไม่ควรมีใครมาชี้หน้าว่าคนเหล่านี้ไม่สู้เท่าตัวเองเหมือนกัน จึงหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการนับหนึ่งในการนำพาประเทศ สู่ประชาธิปไตย ถ้าพรรคเพื่อไทยยืนหนึ่งได้เกินครึ่ง ก็หวังว่าทุกฝ่ายไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายเดียวกันจะยอมรับ ให้จัดตั้งรัฐบาล



“หรือถ้าเป็นไปอย่างที่ใครเขาคิดฝัน ว่าอาจจะมีอีกพรรคหนึ่ง หรืออีกกี่พรรคก็ตามเป็นแซงหน้าพรรคเพื่อไทยขึ้นไป ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินไปข้างหน้าแล้วมีเพื่อไทยอยู่ข้างหลัง ขอให้เดินไปอย่างมั่นคงและอบอุ่นเพราะหันมาข้างหลังจะมีมือของเพื่อไทยคอยประคับประคองอยู่ และในมือของเพื่อไทยไม่มีถือมีดไว้คุกคามเพื่อนเด็ดขาด



ขออย่างเดียวเท่านั้นอย่าให้แปลงดิน ที่ถูกเขาขุดพวน ด้วยชะตากรรมมากมาย กลายเป็นที่รองรับความเหย่อหยิ่งทะนง เป็นที่รองรับการค่อนแคะ วันนี้ถ้าว่าพวกท่านชนะเกินครึ่งได้ ตนจะชวนประชาชนเลือกท่านให้ชนะเกินครึ่งแต่วันนี้ตอนไม่เชื่อ ตนเชื่อว่าพรรคที่จะชนะเกินครึ่งได้คือพรรคเพื่อไทย และตนก็เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อแบบนี้อีกอึดใจเดียวเหลือเพียงสองวันเข้าคูหากาเพื่อไทยให้เเลนส์สไลด์”



ด้านนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี และเป็นการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรกหลังคลอดลูกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ ’เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที’ ในหัวข้อ ’เพื่อไทยคือคำตอบของอนาคต และความหวังของคนรุ่นใหม่’



โดยปราศรัยย้ำถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย พร้อมถามประชาชนว่าพร้อมส่งเพื่อไทยไปเป็นรัฐบาล แก้ปัญหาให้ประชาชนหรือยัง วันที่ 14 พฤษภาคม จะเป็นวันประวัติศาสตร์ของประชาชนคนไทย ที่จะได้เปลี่ยนผู้นำที่มาจากเผด็จการ เป็นผู้นำที่มาจากเสียงของประชาชน ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย พร้อมย้ำเหตุผลการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะเจอมาเยอะ จึงเรียนรู้ ไม่ประมาทกับกติกาที่ไม่เป็นธรรม และยุบพรรคเรามาแล้วถึง 2 ครั้ง จึงเสนอ 3 คน และทั้ง 3 คน ก็ผนึกกำลังร่วมกันทีมงานที่คิดใหญ่ ทำเป็น วันนี้ไม่ว่าใครจะได้นายกรัฐมนตรี อีก 2 คน จะร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน ที่ผ่านมาเคยทำสำเร็จจนประชาชนกลับมาเลือกพรรคเพื่อไทย แม้จะเจอเหตุการณ์ถูกต้องถูกยุบพรรคมาหลายครั้ง ก่อนย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ว่า



“พรรคเพื่อไทยไม่อยู่เคียงข้างประชาชน ถ้าพรรคที่ถูกรัฐประหารมา ไม่สู้เคียงข้างประชาชน ถ้าเพื่อไทยไม่สู้เคียงข้างประชาชน ดิฉัยจะมายืนอยู่ที่นี่ วันนี้หรือคะ ถ้าไม่สู้เคียงข้างประชาชน ถูกยุบพรรคไปแล้ว 2 ครั้ง จะได้กลับมาแบบนี้หรือคะ”



นางสาวแพทองธาร กล่าวว่าที่ตนเข้าสู่การเมือง เพื่อแสวงหาโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ได้มีแนวทาง หารายได้เพิ่มให้ครอบครัวตัวเองและชีวิต อย่างที่ บิล เกตส์ เคยพูดไว้



"ถ้าเราเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าเราตายจน เป็นความผิดของเรา แต่ถ้าเราไม่อยากตายจน ขยันหมั่นเพียร แต่เรายังต้องตายจน นั่นคือความผิดของรัฐบาล"



เพราะถ้าเราขยันทำงาน แต่รัฐบาลไม่เปิดโอกาสรอให้เราเลย แล้วเราจะเติบโตในประเทศนี้ได้อย่างไร



พร้อมยืนยันว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องการหาโอกาส หาช่องทาง หาแนวทางให้กับคนรุ่นใหม่ ให้สามารถหารายได้ให้ตัวเองและครอบครัว ซึ่งพรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างแน่นอน ผ่านนโยบายต่างๆ ทั้ง ดิจิทัลวิเลต ที่ไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม แต่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคเมต้าเวิส การเฟ้นหา 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ส่งเสริมการศึกษาอย่างไม่มีขีดจำกัด เป็นต้น



นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวว่า ก่อนมาขึ้นเวที ได้คุยกับคุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) ที่บอกว่า อยากจะกลับมา โดยจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และอยากใช้มันสมองช่วยพาคนไทยให้พ้นจากวิกฤติไปให้ได้ และท่านยังบอกว่า รู้สึกซึ้งใจตั้งแต่ทำการเมืองมา ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนอย่างถล่มทลายมาเสมอ และไม่เคยลืมบุญประชาชนเลย ดังนั้น วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ขอให้เข้าคูหากาพรรคเพื่อไทย และก้าวผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน ร่วมกันปิดสวิตซ์ ส.ว. และ3 ป. เพื่อทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ขอให้ช่วยพาพรรคเพื่อไทยเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล



ทั้งนี้ ช่วงที่พูดถึงพ่อ ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีน้ำตาคลออยู่ตลอด และก็กลั้นน้ำตาไว้จนปราศรัยจบ



นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ต่อจากนางสาวแพทองธาร กล่าวว่า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะเป็นวันที่ต้องจารึกประวัติศาสตร์บทใหม่ของประเทศ ที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจะร่วมกันแสดงพลัง พร้อมใจกันก้าวออกจากหลุมดำที่ขังเรามานานกว่า 8 ปี จากประเทศไทยที่เคยยืนอยู่อย่างสง่างามในเวทีโลก มีศักยภาพ มีคนเก่ง แต่ผู้นำคณะรัฐประหารได้สร้างวิกฤต เอารถถัง เอาปืนมาจ่อหัวพวกเรา ปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากพวกเรา ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก ที่มองว่ารัฐประหารเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ทำให้คนไทยทุกคนล้วนสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า จากประเทศไทยที่เคยเป็นที่ต้องการ เป็นไข่แดงของการลงทุนในอาเซียน แต่วันนี้ประเทศไทยกลายเป็นไข่ขาวรอบอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่มีผู้นำที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญ นำการค้า การลงทุน นำเงินเข้าประเทศมากมาย



ขณะที่ในประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำได้ขยายตัวขึ้นทุกวัน ด้วยฝีมือของรัฐบาลที่ประกาศคืนความสุข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจล้วนเป็น “ความทุกข์” ทั้งการคอร์รัปชัน การใช้กฏหมายเป็นอาวุธ การบริหารวัคซีนผิดพลาด และเรื่องที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดที่สุด คือการยัดข้อหาที่ไร้หัวใจ หาว่าเยาวชนไทย “ชังชาติ”



นายเศรษฐา กล่าวเปรียบเทียบว่า รัฐบาลปัจจุบันได้สร้างคุกขนาดใหญ่ ขังประชาชนทั้งประเทศเอาไว้กับความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความยากลำบาก ความไม่เป็นธรรม ใช้กฏหมายทำร้ายคนเห็นต่าง ทรยศต่อประชาชน ทั้งหมดนี้ เป็นผลไม้พิษที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหารในปี 2557 ดังนั้น ความตั้งใจที่เข้ามาในพรรคเพื่อไทยวันนี้ ‘มาตัวเปล่า’ มาโดยปราศจากคำสัญญาใดๆ กับนายทุน ผู้มีอำนาจ หรือผู้มีอิทธิพล แต่มีคำสัญญาเพียงหนึ่งเดียวที่มีต่อพี่น้องประชาชน ว่าจะตั้งใจทุ่มเททำงานหนัก ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน นำประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจกว่า 30 ปี มาทำประโยชน์ สร้างอนาคตให้กับประชาชนคนไทยทุกคน



นายเศรษฐาย้ำว่า ผู้สมัคร ส.ส. และบุคคลากรของพรรคเพื่อไทยหลายคน ล้วนรู้ลึก รู้จริง เป็นปรมาจารย์ที่เก่งทั้งทฤษฏี มีประสบการณ์การลงมือทำ พรรคเพื่อไทยยังมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย ที่เคยดูแลพี่น้องประชาชนร่วม 66 ล้านคน ครบ 4 ปี และอีกนิดเดียว ที่ไทยเกือบจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย จึงอยากขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนทุกคน ที่จะทำให้ 4 ปีข้างหน้า เจริญเติบโตรุ่งเรืองเหมือนที่ไทยรักไทย พลังประชาชน ได้ทำไว้ให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน



และสุดท้าย เราจะไม่เห็นความอยุติธรรมจากตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐภายใต้อำนาจบริหารอีกต่อไป จะไม่เห็นการบังคับใช้กฏหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง จะไม่ให้คนตัวเล็กโดนกลั่นแกล้ง ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่คนก็เดือดร้อนมาก เราจะยกเลิกการตั้งด่านเก็บส่วยของทั้งตำรวจ กรมการขนส่ง โดยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยความสามารถของพรรคเพื่อไทย



“ผมมีความฝันที่จะเห็นพี่น้องประชาชนไทย อยู่ดี กินดี มีความภาคภูมิใจ เศรษฐกิจไทยจะเติบโต พร้อมกับความเจริญทางจิตใจ ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ ประชาธิปไตยจะกลับคืนสู่พวกเราทุกคน และฝันว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับใช้ประชาชนอีกครั้ง ผมและพรรคเพื่อไทยจะต่อสู้เพื่อไม่ให้พวกเราตื่นขึ้นมาพบประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ยอมรับความแตกต่าง หรือตื่นขึ้นมาเจอผู้นำประเทศเป็นคนเดิมที่ไร้หัวใจ เห็นคนไทยไร้ที่ยืนในเวทีโลก”



นายเศรษฐากล่าวว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งวันนี้เป็นพรรคเพื่อไทย เราเป็นสถาบันที่หนักแน่น มีอุดมการณ์ยึดโยงกับประชาชนมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็เป็นพรรคที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุดเช่นกัน โดยความอยุติธรรมเกิดขึ้นในระบบกฏหมาย ผู้มีอำนาจที่ไม่รับฟังเสียงประชาชน แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นทำอะไรไม่ได้กับอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย เรายังยืนหยัดแข็งแกร่ง ทำประโยชน์เพื่อประชาชน และกลับกัน ยังได้รับความศรัทธาจากพี่น้องประชาชน ได้รับความไว้วางใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์จากผลการเลือกตั้งในปี 2544 ปี 2548 ปี 2550 ปี 2554 ปี 2562 และครั้งนี้ มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ทำให้เราเป็นพรรคเดียวที่มีโอกาสทำให้ ส.ว. ต้องฟังเสียงประชาชน



พร้อมย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะต้องชนะให้มากกว่าทุกครั้งที่เราเคย ให้มากพอที่จะทำให้ ส.ว.ทำตามฉันทามติของประชาชน โดยไม่มีข้ออ้างอีกต่อไป เราจะไม่ทรยศต่อคนที่ร่วมอุดมการณ์กับพวกเรา เราจะรับฟังทุกเสียงของประชาชน จะทำงานหนัก จัดตั้งรัฐบาลที่โปร่งใส เราจะใช้ทุกวินาทีอย่างมีค่า ใช้จ่ายภาษีทุกบาททุกสตางค์อย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทยทุกคน ภาพฝัน ความหวัง และนโยบายที่ได้กล่าวไปในตลอด 75 วันที่ลงพื้นที่เป็นไปได้จริง



เวลานี้ประเทศต้องการรัฐบาลที่มีประสบการณ์ มีความสามารถ เข้าใจกลไกทั้งการเมือง กฏหมาย ราชการ และความร่วมมือจากภาคเอกชนจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ มาเปลี่ยนประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤต สถานะทางการเงินการคลังของประเทศอยู่ที่ปากเหว หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เรารอไม่ได้แล้ว ประเทศไทยไม่มีโอกาสให้เสี่ยงอีกแล้ว ทั้งเสี่ยงที่จะเปิดช่องว่างให้รัฐบาลเผด็จการกุมอำนาจ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ค้านมติของประชาชน เสี่ยงที่เสียงของฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกบั่นทอน จากการบังคับใช้กฏหมายอย่างไม่เป็นธรรม เสี่ยงที่การลงคะแนนแบบไม่มียุทธศาสตร์ จะทำให้ฝ่ายเผด็จการกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง เรามีบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่พรรคเพื่อไทยพลาดไปเพียง 17 ที่นั่ง เราต้องไม่ปล่อยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกแบบไร้ยุทธศาสตร์อีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเราจะต้องทนกับ รัฐบาลที่สืบทอดเผด็จการ ขั้วอำนาจเดิมต่อไป



“ผมขอวิงวอนจากใจ อย่าเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกเพราะความชัวร์ ชัวร์ว่าพรรคเพื่อไทยทำได้จริง เราจะทำให้เสียงของประชาชนเป็นใหญ่ ให้ประชาธิปไตยเป็นใหญ่ ให้นักการเมืองฟังเสียงของประชาชน และผม นายเศรษฐา ทวีสิน ขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความมืดมน สู่ความเป็นจริงที่มีความหวัง ผมขอให้ทุกคนลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทั้ง ส.ส.เขต และพรรคเบอร์ 29 ให้แลนด์สไลด์ทั้งประเทศ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ ให้พวกเราไปรับใช้ประชาชน ไปทำความหวังของทุกคน เปลี่ยนประเทศให้ได้จริง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลาน”



ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ได้ร่วมเวทีปราศรัยในครั้งนี้ เนื่องจากยังคงรักษาตัวจากอาการป่วย สาเหตุมีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง ซึ่งนายชัยเกษม เกิดวูบระหว่างลงพื้นที่หาเสียง ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา



https://youtu.be/OYRmynt7cOY

คุณอาจสนใจ

Related News