เลือกตั้งและการเมือง

'ส.ว.อุปกิต' แถลงโต้ 'โรม' เคลียร์ทุกข้อกล่าวหา ยกมือไหว้สาบานทั้งน้ำตา ไม่เคยยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ใครใส่ร้ายขอให้วิบัติ มีอันเป็นไป

โดย weerawit_c

18 มี.ค. 2566

119 views

วานนี้ (17 มี.ค.) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา แถลงเปิดใจกรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกล่าวหาในสภา และยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ โดยเฉพาะประเด็นที่กล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินผิดกฎหมาย และที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยได้เคลียร์ทุกประเด็น และตอบคำถามผู้สื่อข่าวนานกว่า 1 ชั่วโมง ระบุว่า ขออภัยที่แถลงข่าวช้าไป เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี แต่เมื่อมีสื่อมวลชนบางสำนัก และ ส.ส.รังสิมันต์ โรม อภิรายในสภาทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และ ตัดสินใจไปแล้วว่า “ผมทำผิด” แต่ไม่ขอก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

นายอุปกิต เริ่มต้นพูดถึงกรณีลูกเขย ที่ถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่ลูกเขยอยู่ที่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านพักของตนเอง และลูกเขยของตนได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว ซึ่งในขณะจับกุม ลูกเขยก็ได้เดินเล่นกับลูกเล็กอยู่ นั่นก็คือหลานของตนเอง (จังหวะที่พูดประโยคนี้ได้มีน้ำตาคลอ และหยุดเป็นระยะ) เพราะรู้สึกสงสารหลาน โดยระบุว่า หากตนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่มีการกล่าวอ้าง หากตำรวจอยากช่วยตน ก็มีอำนาจจับกุมแล้วประกันตัวได้ “ถ้าจะช่วยกันจริงก็ช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว ไม่ต้องให้อยู่ในเรือนจำมา 7 เดือนแล้ว หลานเล็กๆ ของตนก็ร้องไห้ทุกวัน แม่ของหลาน ก็โทรมาร้องไห้ทุกวัน แต่ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

จากนั้น นายอุปกิต ได้ชี้แจงยืนยันว่า ตนไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป จำกัด และตำรวจก็ไม่ได้ช่วยแยกคดีนี้ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง แต่ทั้งหมดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า มีตำรวจที่ทำคดีดังกล่าวถูกโยกย้าย นายอุปกิต ยืนยันว่า ตนไม่มีอำนาจหรือกดดันให้ใครย้ายตำรวจคดีนี้ แต่ตำรวจที่ถูกย้ายเป็นการย้ายไปตามวงรอบ และไม่มีผลงานในช่วง 3-4 เดือน มีแค่คดีนายทุนมินลัตคดีเดียว อีกทั้งการย้ายครั้งนี้ เป็นการย้ายไปในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ย้ายเพราะการลงโทษ หากตนมีอิทธิพลจริง ก็คงย้ายออกไปไกลๆ ขณะเดียวกัน ตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าตำรวจจะช่วยตน ก็ช่วยตั้งแต่วันแรกแล้วที่มาจับกุมลูกเขยของตน

ส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โจมตีทำให้ตนเองเสียหายอย่างมากนั้น นายอุปกิต กล่าวว่า กรณีการออกหมายจับแล้วยกเลิกหมายจับในวันเดียวกันนั้น เนื่องจากมีการตกแต่งคำพูดในแชทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อนำมาปั้นเป็นหลักฐานให้ตนมีความผิด

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ตนนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น นายอุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า

ขณะที่คดีของนายทุนมินลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่

เพราะการปล่อยข่าวนั้นเป็นระบบที่แปลกใหม่และเป็นความชำนาญของคนรุ่นใหม่ ที่จะใช้วิธีโซเชียลในการปล่อยข่าวอย่างแยบยล เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงการร้องขอออกหมายจับ และการเพิกถอนหมายจับ ถูกโพสต์โดยบัญชีลึกลับในวันที่ 11 มีนาคม 2566 นี้ และผู้สื่อข่าวคนหนึ่งนำมาโพสต์ลงในทวิตเตอร์ พร้อมแชร์ลิงก์ก่อนเวลา 11.00 น. และลิงก์ดังกล่าวก็ถูกลบ นักข่าวคนนั้นเป็นสื่อรุ่นใหม่และเคลื่อนไหวเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเคมีตรงกับพรรคไหน จึงขอตั้งเป็นคำถาม

นายอุปกิต กล่าวต่อว่า ข้อสังเกตต่อไป ตนทราบมาอีกว่าสื่อที่แชร์ข้อมูลนี้ สื่อแรกจะนำเสนอข่าวความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และข่าวกลุ่มนักกิจกรรมบ่อยครั้ง ต่อมาเฟซบุ๊กของ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล ซึ่งเป็นเพื่อนรักของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และมีภรรยาคือ ทนายแจม น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ผู้เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตสายไหม ของพรรคก้าวไกล เคยทำงานเป็นทนายให้กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนของนายอานนท์ นำภา ที่รับทำคดีให้นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายรังสิมันต์ ตอบว่าไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง แต่เอาป้ายมาติดข้างหลังว่า นักการเมืองค้ายาจะหมดไป ถ้าเลือกพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ตนจึงอยากทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ทั้งหมดเป็นความบังเอิญหรือเป็นทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่

พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ

“มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า เพราะการเผยแพร่เอกสารหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามขั้วรัฐบาลออกมาโหนกระแส ตนและครอบครัวจึงขอความเป็นธรรม เพราะตนและครอบครัวตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียง ตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่าวและแทรกแซงได้ โดยย้ำเรื่องการถอนหมายจับนั้น เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ ที่ใช้กับ ส.ส. / ส.ว.และข้าราชการผู้ใหญ่ เหมือนกันหมด ซึ่งมีไว้เพื่อกลั่นกลอง ไม่ให้โดนกลั่นแกล้ง จึงถามกลับว่า พนักงานจับกุม อ้างว่าใช้ดุลพินิจได้หรอครับ ไม่เช่นนั้นไปจับใครได้ ก็สามารถกลั่นแกล้งกันได้ทางการเมือง และกรณีนี้ก็ใช้เสมอภาค เช่นเดียวกับ ส.ส.รังสิมันต์ หากโดนหมายจับ ก็ต้องดำเนินการภายใต้ระเบียบเดียวกับตน” นายอุปกิต กล่าว

นายอุปกิต เปิดเผยอีกว่า ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในวันนี้ (17 มี.ค.)

นายอุปกิต กล่าวอีกว่า สำหรับสื่อมวลชนที่ได้ฟ้องแล้ว และกำลังจะยื่นฟ้อง เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ดังนั้น ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะตนต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตน

หลังการแถลงเสร็จสิ้น นายอุปกิตได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า “ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายชาคริส กาจกำจรเดช คือใคร นายอุปกิจ กล่าวว่า นายชาคริส คือคนที่เคยเช่าอัลลัวร์ และเป็นหุ้นส่วน 15%ของอัลลัวร์เมื่อก่อนที่ตนเคยทำอยู่

เมื่อถามอีกว่า มีการตั้งข้อสังเกตถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเท็จเนื่องจากนายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า นายอุปกิตไม่ได้ซื้อขายหุ้นอัลลัวร์ให้นายชาคริสจริง ซึ่งนายอุปกิต ยอมรับว่า เป็นความสะเพร่าของตน เพราะตนจะขายให้กับนายชาคริส ก่อนมารับตำแหน่ง ส.ว. ขณะเดียวกัน การถือหุ้นไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากให้มีข้อครหา จึงเซ็นสัญญาซื้อขาย เพราะตั้งใจจะขายให้กับนายชาคริส แต่ปรากฎว่า สัญญาเป็นโมฆะ แล้วโอนให้กับลูกเขย จากนั้น ขายให้กับนายเอ็ดดี้เป็นเงินสด และตนตั้งใจว่าจะยื่นชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังจากออกจากตำแหน่ง ส.ว.ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้ซีเรียสเรื่องสัญญา

นายอุปกิต ยอมรับว่า ที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เป็นตึกของตนเอง ซึ่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ติดต่อขอเช่า โดยแจ้งว่า ใช้เป็นออฟฟิสส่วนตัว ยืนยันว่า ได้ทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ทราบมาก่อนว่า จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค พร้อมยินดีให้ตรวจสอบสัญญาเช่าและย้ำว่า ไม่ได้รู้จักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการส่วนตัว แต่คิดว่า ที่ถูกได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศและการไฟฟ้า โดยยืนยันได้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ผมตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่ากรณีที่มีข้อกล่าวหา เคยคิดจะลาออกหรือไม่ เพื่อรักษาสถาบันวุฒิสภา นายอุปกิต ระบุว่า “เคยคิดครับ แต่ถ้าลาออก ก็เท่ากับผมผิด ดังนั้นจึงต้องปกป้องเกียรติของผมให้ได้ และถามว่าการลาออกจะได้ประโยชน์อะไรครับ” ทั้งนี้หากตนทำผิด ก็สามารถส่งหนังสือมายังประธานสภาฯ ได้อยู่แล้ว

ขณะที่ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ เวทีปราศรัยพรรคก้าวไกล จังหวัดปทุมธานี ต่อกรณีนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงข่าวตอบโต้กระแสข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ สืบเนื่องจากคำอภิปรายกล่าวหาของนายรังสิมันต์ ในญัตติอภิปรายทั่วไปฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152

แม้ว่า นายอุปกิต อาจพยายามบอกว่าไม่รู้จักกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ การเช่าตึกคงขับรถผ่านไปแล้วเห็นกันอยู่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีประชาชนคนไหนได้เลือก ส.ว. ไหม แต่ พลเอก ประยุทธ์ คือคนเลือก ส.ว. และ ส.ว. ก็เป็นคนเลือก พลเอก ประยุทธ์ ดังนั้น การปฏิเสธว่าตนเองไม่มีความสัมพันธ์นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงประเด็นที่ นายอุปกิต ไม่ได้กล่าวถึงคือ บริษัท อัลลัวร์ พี แอนด์ อี จำกัด ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด มีเงินจากการค้ายาเสพติดเข้าไปในบัญชี แล้วนายอุปกิตชี้แจงว่าเป็นเรื่องของกรรมการคนอื่นที่ถูกดำเนินคดีไป ทั้งที่แชตที่นายรังสิมันต์เปิดหลักฐานในการอภิปรายก็เห็นอยู่ว่าใครอยู่เบื้องหลัง

“สิ่งที่ผมนำเสนอในสภาฯ คือหลักฐานที่ยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของขบวนการค้ายาเสพติด รวมไปถึงการวิ่งเต้นช่วยเหลือกันเพื่อล้มคดี นำไปสู่การถอนหมายจับ แล้ว 160 วันเกือบ 170 วันแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้าเลย”

นายรังสิมันต์ กล่าวถึงคำชี้แจงของนายอุปกิตที่ระบุว่าเห็นหลักฐานว่าเป็นเอกสารเท็จนั้น ว่า คนที่จะเข้าถึงเอกสารชุดนั้น มีแค่สองคน คือ ตำรวจที่ไปขอ กับตัวศาล คำถามคือ นายอุปกิต รู้ได้อย่างไร หาก นายอุปกิต ไม่มีเส้นหรือคนวงในช่วยเหลือเรื่องนี้ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร

ท่านจะสาบานว่า ท่านไม่เกี่ยวข้องและสาปแช่งผม วันนี้ผมพูดตรงไปตรงมา ผมอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงที่สุดในชีวิต เพื่อจะได้เห็นกันเลยว่าคนที่สาบานจะต้องโดนอะไร สุดท้ายสิ่งที่ผมเสนอในสภาฯ มันคือหลักฐาน แล้ววันนี้สิ่งที่ ส.ว. อุปกิต ชี้แจง ท่านไม่ได้เอาหลักฐานมาหักล้างผมเลย ดังนั้น จะเรียกดราม่าอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะเดินหน้าตรวจสอบต่อไป

ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับคุณอุปกิตส่วนตัว ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับคุณอุปกิตส่วนตัว เดิมทีเราทำหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาล แต่การจะไต่ไปถึงรัฐบาล บางทีต้องไต่บันได เพราะมันมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่เหมือนกัน

ทั้งนี้ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความ ซึ่งได้รับอำนาจจาก นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.อุปกิต) ได้เดินทางมายื่นหนังสือ ร้องเรียนและขอความเป็นธรรม การใช้พยานหลักฐานที่เจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงในการยื่นคำร้องขอออกหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร ต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา

นายเรืองศักดิ์ กล่าวว่าจากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีตสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนรบาล (บช.น.) ในขณะนั้นมายื่นคำร้องขอออกหมายจับนายอุปกิต โดยใช้เอกสารที่บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยมีการแปลให้ผิดเจตนาของข้อความในการใช้ประโยชน์ให้ศาลเชื่อและออกหมายจับ ซึ่งตนมองที่ศาลเพิกถอนหมายจับถูกต้องแเล้ว เเละเอกสารดังกล่าวเป็นการบิดเบือนและไม่สามารถขอออกหมายจับได้ วันนี้จึงมายื่นร้องขอให้ศาลพิจารณาว่าเอกสารนั้นชอบหรือไม่


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/xJN9GeWaLNU

คุณอาจสนใจ

Related News