เลือกตั้งและการเมือง

เปิดคำสั่งศาลฎีกา บังคับโทษจำคุก "ทักษิณ" คดีชั้น 14 ชี้ไม่ได้ป่วยฉุกเฉิน

9 ก.ย. 2568

39 views

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งบังคับโทษให้ นาย ทักษิณ กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปีตามคำพิพากษาเดิม หลังไต่สวนแล้วพบว่าการเข้ารักษาในโรงพยาบาล 120 วัน ไม่ได้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน และยังนอนห้องพิเศษ



เริ่มกันที่บรรยากาศบ้านจันทร์ส่องหล้า ย่านตลิ่งชัน ของนาย ทักษิณ ชินวัตร ราว 8 โมง 44 นาที ขบวนรถตู้เบนซ์ 4 คัน ของ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขับเข้ามาภายในบ้าน




9 โมง 9 นาที ขบวนรถของนาย ทักษิณ ได้เคลื่อนออกจากบ้าน โดยรถคันแรกเป็นรถเมอร์เซเดสเบนซ์ มายบัค สีดำ-เงิน หมายเลขทะเบียน พร 195 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถที่นาย ทักษิณ ใช้เป็นประจำ ตามด้วยขบวนรถของลูกสาว 2 คน




ขบวนรถของนาย ทักษิณ ใช้เวลาเดินทางเพียง 16 นาที ก็มาถึงหน้าศาลฎีกา ในเวลา 9 โมง 25 นาที จากนั้นลงมาจากรถในชุดสูทสีดำ เสื้อเชิ๊ตสีขาว และสวมเนคไทสีเหลือง โดยเดินทางมาพร้อมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ โดยมีนายวิญญัติ ชาติมนตรี และทีมทนายความ ยืนรอให้การต้อนรับ




จากนั้นได้หันมาโบกมือทักทายสื่อมวลชน และบรรดากองเชียร์มวลชนคนเสื้อแดง ที่ปักหลักอยู่บริเวณด้านนอกอาคารศาลฎีกาได้ตะโกนส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจนายทักษิณว่า "ทักษิณสู้ ๆ" ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในศาล




 ในวันนี้มีคนเข้าร่วมฟังในห้องพิจารณามากกว่า 50 คน รวมถึงนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา นาย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เคยยื่นคำร้องขอตรวจสอบการบังคับโทษตามคำพิพากษาของ นาย ทักษิณ ก็เข้าร่วมการรับฟังด้วย




การเข้าฟังคำสั่งในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้นาย ทักษิณ ชินวัตร และนาย มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาฟังคำสั่งของศาลด้วยตัวเอง




สำหรับบรรยากาศภายในศาล หากดูจากแผนผังที่นั่งจะเห็นว่า ที่บัลลังค์ศาลจะมีผู้พิพากษานั่งอยู่ 5 คน ได้แก่ นายฉัตรชัย ไทรโชต นายอดุลย์ อุดมผล  นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล นางสุพิชญ์ กรอบคำ และนายพัฒนไชย ยอดพยุง




ส่วนบริเวณหน้าบัลลังค์ฝั่งซ้ายเป็นที่นั่งของโจทก์ ประกอบด้วย ป.ป.ช. / อัยการ / ผู้แทนอัยการสูงสุด




หน้าบัลลังค์ฝั่งขวาเป็นที่นั่งของฝ่ายจำเลย ประกอบด้วย นายทักษิณ / ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว / นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และน้องเขยของนาย ทักษิณ / เก้าอี้แถวหลังเป็นคุณอุ๊งอิ๊งและสามี ถัดมา คือ คุณเอม กับสามี




ขณะที่นาย มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นั่งที่เก้าอี้ยาวหลังคอกให้การที่อยู่กลางศาล กับผู้ติดตามอีก 2 คน




ในส่วนของผู้เข้าร่วมติดตามรับฟังคำสั่งจะนั่งอยู่ด้านหลัง ฝั่งซ้ายจะเป็นกลุ่มของหมอวรงค์ นายสมชาย นาย ชาญชัย ทนายนกเขา  เก้าอี้โซนกลางเป็นกลางของผู้สื่อข่าว และฝั่งขวาเป็นที่นั่งของผู้ติดตามจำเลย




สำหรับบรรยากาศก่อนการฟังคำสั่ง นาย มานพ เดินไปสวัสดีฝ่ายโจทก์ คือ ตัวแทนของอัยการสูงสุดและป.ป.ช. แล้วเดินไปยกมือไหว้นาย ทักษิณ ซึ่งนายทักษิณได้ส่งยิ้มมา จากนั้นนาย ทักษิณเดินออกไปห้องน้ำ และได้จับมือกับผู้สื่อข่าวก่อนบอกว่า "สบายมาก" เมื่อกลับมานั่งภายในห้องพิจารณาคดีได้เพียง 5 นาที ศาลก็นั่งบัลลังค์ และเริ่มอ่านคำสั่งทันที ในเวลา 10 โมง ซึ่งนักข่าวสังเกตเห็นว่านาย ทักษิณ ท้าวแขนกับเก้าอี้แล้วเอามือมาจับที่คาง และขมับ




ศาลบอกว่าคดีนี้มี 3 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ประเด็นที่ 1 ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลยหรือไม่ ศาลวินิฉัยว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้รักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ รวมถึงบังคับโทษให้จำคุกหรือยัง




ประเด็นที่ 2 การไต่สวนของศาลพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ยกคำร้องของ นาย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่เคยยื่นคำร้องไว้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่ซ้ำ เพราะศาลวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า "อาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล" แต่นาย ชาญชัยมายื่นว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีการทุเลาการบังคับโทษตามป.วิอาญา มาตรา 24 หรือไม่




ประเด็นที่ 3 ที่ต้องวินิจฉัย คือ บังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ศาล ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุก แล้วนำตัวไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลย พบว่ามี 10 โรค แต่มี 3 โรคที่แพทย์เห็นว่า ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลภายนอก ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับตับ เนื่องจากไม่มีแพทย์เฉพาะทาง




แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า คืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอก และมีความดันโลหิตสูง พยาบาลเวรจึงส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างไปแค่ 200 เมตร โดยให้เหตุผลว่า จำเลยแจ้งว่ามีอาการแน่นหน้าอก




แต่พอไปถึงโรงพยาบาลตำรวจเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา ระบุว่า เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของอาการจากโรคหัวใจ แต่กลับไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่ได้ตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที กลับส่งขึ้นไปที่ห้องพักพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา แล้วแพทย์หัวใจจึงมาตรวจในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 แสดงว่า อาการของจำเลยไม่ได้หนัก โรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูแลได้




ทำให้เชื่อได้ว่าคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้อาการแน่นหน้าอกจริง แต่เป็นข้ออ้างเพื่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ




การรักษาตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ถึง 18 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพในขณะนั้น ได้ไปขอให้แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 18 ตุลาคม 2566 และ 21 ธันวาคม 2566 ถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม




แต่ในความเป็นจริง เป็นเพียงการผ่าตัดนิ้วล็อก และผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดจากอุบัติเหตุในห้องพักชั้น 14 ไม่ใช่อาการป่วยที่ระบุว่ามารักษา นอกจากนี้จำเลยยังปฏิเสธผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม และไม่มีการผ่าตัดรักษากระดูกคอกดทับไขสันหลัง และเส้นประสาทด้วย




ดังนั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยรู้ว่าไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน มีเพียงโรคประจำตัวเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แต่จำเลยกลับใช้ข้ออ้างในการผ่าตัดอื่นแทน เพื่อนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำ ดังนั้นการบังคับโทษจำเลยที่ผ่านมา ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ




หลังจากศาลอ่านคำสั่งเสร็จสิ้นแล้ว นางสาวแพทองธารได้เดินเข้าไปกอดนายทักษิณ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่นายทักษิณจะหันมาพูดคุยกับทนายความ จากนั้นเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา จะเชิญผู้สื่อข่าวออกจากห้องพิจารณาคดี เพื่อเตรียมส่งตัวนายทักษิณไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/wO5EN84fcxU

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ