เลือกตั้งและการเมือง
เปิดคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6:3 ฟัน "แพทองธาร" พ้นเก้าอี้นายกฯ
29 ส.ค. 2568
85 views
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง ‘แพทองธาร‘ พ้นตำแหน่ง เซ่นปมคลิปเสียง เหตุมีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ยึดประโยชน์ ‘ฮุนเซน’ เหนือประเทศชาติ ลดทอนเกียรติภูมิของไทย ทำสาธารณชนขาดความศรัทธาต่อตัวนายกฯ
วันนี้ (29 ส.ค.68) เวลา 15.00 น.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ สว. 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
เนื่องจากผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าคลิปเสียง เป็นพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการบันทึกเสียงโดยระบบคอมพิวเตอร์ ปราศจากความยินยอมของผู้ส่ง อีกทั้งยังมีภาษาต่างประเทศที่ยังไม่มีการแปลหรือรับรองความถูกต้อง การรับฟังคลิปเสียงนี้เป็นพยานหลักฐานจึงเป็นไปเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในคดีและอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย ศาลจึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องได้กล่าวคำตามที่ปรากฏคำร้องจริง นอกจากนี้ บทสนทนาที่เป็นไปตามที่ได้กล่าวอ้างที่ปรากฏเป็นภาษาไทย ศาลจึงรับฟังคลิปเสียงนี้เป็นพยานหลักฐาน
สำหรับประเด็นที่ศาลธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะที่ผู้ถูกร้องกำลังเจรจากับสมเด็จฮุนเซน สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามีความตึงเครียดอย่างสูง แม้จะมีช่องทางการพิจารณาอย่างเป็นทางการผ่านการประชุม JBC เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.68 แต่สมเด็จฮุนเซน กลับแถลงจุดยืนกดดันให้ประเทศไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด ตอบโต้ห้ามนำเข้าสินค้าน้ำมัน และเรียกแรงงานกัมพูชากลับจากประเทศไทย โดยจุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ซึ่งได้มีการตกลงกันไว้
เมื่อผู้ถูกร้องมีโอกาสใช้ช่องทางการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ผู้ถูกร้องจึงเจรจากับสมเด็จฮุนเซน พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอหรือความต้องการของสมเด็จฮุนเซนอีกทั้งการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงไม่มีผลต่อการเปิดหรือปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ
การไม่ซื่อสัตย์สุจริต จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ดังนั้นเมื่อผู้ถูกร้องยังคงมีเจตนายึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อปกป้องป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง หรือเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนกับเอกราชอธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย และความมั่นคงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มิได้ยอมรับตามข้อเสนออันเป็นการบ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ
การเจรจาของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงออกถึงความไม่นิ่งเฉยของปัญหา เป็นการพยายามดำเนินการเพื่อธำรงรักษาผลประโยชน์ของชาติ มีเจตนาที่จะรักษาความสงบสุขของประชาชนในประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ การกระทำของผู้ถูกร้องยังไม่มีลักษณะเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
ส่วนผู้ถูกร้องมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร มีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้ถูกร้องจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่มีสองสถานะตลอดเวลาดำรงตำแหน่ง สถานะประชาชนที่มีเสรีภาพในการกระทำ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ส่วนอีกสถานะหนึ่งในฐานะนายกรัฐมนตรี รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน การการบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่บริหารราชการส่วนตัวตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและตัวแทนของประเทศไทยในการติดต่อนานาประเทศ มีหน้าที่และอำนาจกำหนดนโยบายการบริหารประเทศและมีหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ อธิปไตยเนื้อดินแดน รวมทั้งปกป้องศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารงาน เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ดังนั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุนเซน เรื่องการเปิด-ปิดด่านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุปะทะบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี การสนทนาดังกล่าวแม้จะกระทำในช่วงเวลาส่วนตัว แต่เนื้อหาในการสนทนามีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขอเปิดด่านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อันเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่เป็นการสนทนาเรื่องส่วนตัวระหว่างผู้ถูกร้องกับสมเด็จฮุนเซน จึงไม่ใช่การกระทำส่วนตัวในฐานะประชาชน แต่เป็นการปฎิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี
เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องใช้ในคำสนทนาประกอบกับบริบทสนทนาทั้งหมดแล้ว ในส่วนที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ผู้ถูกร้องเบิกความว่า เป็นการใช้เทคนิคการเจรจาแบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง โดยมุ่งหมายเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างกัน เห็นว่าผู้ถูกร้องกล่าวถึงตนเองกับสมเด็จฮุนเซนรวมกันเป็นฝั่งหนึ่งเรียกว่า “เรา” และกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า “เป็นคนของฝั่งตรงข้ามกับเรา” รวมทั้งตำหนิแม่ทัพภาคที่ 2
ผู้ถูกร้องชี้แจงและเบิกความว่า สมเด็จฮุนเซน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมือง มีอิทธิพลขับเคลื่อนกัมพูชา มีความสำคัญเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตลอด ช่วงที่ไทยมีปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาสะท้อนให้เห็นว่ามีการแบ่งข้าง ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าววิญญูชนย่อมเข้าใจว่าแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองให้กัมพูชาประเทศคู่ขัดแย้งทราบ ผลถูกเผยแพร่ออกไปถึงกัมพูชาจึงจำเป็นเปิดช่องให้กัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้
การเจรจาการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนและวิธีการการเจรจาทางการทูต ในลักษณะสายตรงผู้นำ ผู้ถูกร้องไม่มีเจตนาดำเนินการตามที่เสนอในทุกกรณี เนื่องจากต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงก่อน โดยมีการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามโดยการหาความต้องการที่แท้จริง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นแล้วว่า ผู้ถูกร้องทราบดีอยู่แล้วว่าสมเด็จฮุนเซน ไม่ได้อยู่ในสถานะหรือดำรงตำแหน่งของผู้นำรัฐบาลกัมพูชาที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันตามนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ ประกอบกับผู้ร้องชี้แจงว่าภายหลังจากผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ผู้ถูกร้องยังได้พูดคุยผ่านข้อความกับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผู้ถูกร้องประสงค์จะใช้ช่องทางการเจรจา ที่เป็นทางการและเป็นทางการควบคู่กันไป
สำหรับการดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะกำหนดขั้นตอนวิธีการเจรจาหรือไม่ ผู้ถูกร้องใช้เทคนิคการเจรจาใดก็ตาม แต่เมื่อสนทนาในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ที่บัญญัติว่า คณะรัฐมนตรีต้องปฎิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมาตรา 64 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีต้องปฎิบัติหน้าที่และใช้อำนาจรอบคอบระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม คำนึงถึงกรอบจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ
หาใช่ว่าผู้ถูกร้องจะเจรจาอย่างอิสระตามอำเภอใจแต่อย่างใด การดำเนินการของผู้ถูกร้องเป็นการเจรจาความมั่นคงต่อประเทศ ซึ่งผู้ถูกร้องทราบดีว่าสามารถเจรจาโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีมาตรการรักษาความปลอดภัยร่วมด้วย แต่เมื่อผู้ถูกร้องเลือกวิธีการเจรจากับสมเด็จฮุนเซน ที่รู้จักกันส่วนตัวต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติมากยิ่งขึ้น การที่ใช้ถ้อยคำ อาทิ ให้ท่านฮุนเซนต์เห็นใจหลานหน่อย เพราะตอนนี้คนในประเทศไทยเค้าไล่หลานไปเป็นนายกฯ เขมรหมดแล้ว, ท่านอยากได้อะไรก็ขอให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้, ตอนนี้กำลังโดนหนักมากเลย คือเราเปิดให้อยู่แล้ว พี่ฮวดจะต้องบอกว่าเราตกลงร่วมกันว่าเราเปิด เพราะถ้าอย่างนั้นอิ๊งยอม ๆ หมดก็จะโดน เพราะตอนนี้เลยมาถึงด่านแล้ว ถ้าอยากได้อะไรให้บอกจะได้ตกลงกันได้ เพราะบางทีที่ท่านโพสต์เฟซบุ๊กออกมา รัฐบาลสั่นคลอนไปหมดแล้วค่ะ
ถ้อยคำดังกล่าวขอให้สมเด็จฮุนเซนเห็นใจในการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ทำให้เสถียรภาพของผู้ถูกร้องความสั่นคลอน แต่เมื่อผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์อันดีกับสมเด็จฮุนเซน จึงไม่ตอบโต้ ผู้ถูกร้องโน้มน้าวให้เปิดด่านพร้อมกันในลักษณะที่เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากผู้ถูกร้องยินยอมตามคำร้องของสมเด็จฮุนเซน ผู้ถูกร้องจะถูกวิจารณ์หนักขึ้น นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังจำนนดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไขหรือกำหนดขอบเขตการเจรจาต่อรอง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือรักษาจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ แต่กลับเปิดช่องให้กัมพูชาหยิบยื่นคำร้องใด ๆ ต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ
การเจรจาเป็นการยืนยันว่า ฝ่ายไทยโดยผู้ถูกร้องพร้อมที่จะเปิดผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่ผู้ถูกร้องทราบดีว่าการเข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.68 ที่ประชุมมีมติให้กองทัพหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลพิจารณาจากเบาหนักเท่าที่จำเป็น ต่อมากองทัพได้มีคำสั่งควบคุมเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเทศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.68 และยังไม่มีการประชุม สมช.เพื่อเปลี่ยนแปลงมติแต่อย่างใด
ผู้ถูกร้องทราบดีว่าสถานการณ์ชายแดนในวันที่ 15 มิ.ย.68 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรงแต่อย่างใด แล้ววันที่ 9 มิ.ย.68 ผู้ถูกร้องก็ทราบผ่านการรายงานกองบัญชาการกองทัพไทยมีหนังสือด่วนที่สุดเสนอสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติขอให้ สมช.เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีการค้ามนุษย์และบ่อนการพนันในกัมพูชา เข้าที่ประชุมางเร่งด่วน พร้อมเสนอยกระดับมาตรการปราบปราม
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่มีวัตถุประสงค์การเจรจาให้มีการเปิดด่านพร้อมกันกับกัมพูชา จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความประสงค์ของสมเด็จฮุนเซนมากกว่าประโยชน์และความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากความพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ร้องกับสมเด็จฮุนเซน เป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยและกัมพูชาของผู้ถูกฟ้อง โดยผู้ถูกร้องมุ่งหวังแต่เพียงการทำให้คะแนนนิยมของผู้ถูกร้อง โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ความมั่นคงในขณะนั้น อันเป็นผลประโยชน์ของชาติอันเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด
พฤติกรรมและการกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าวย่อมทำให้วิญญูชนเกิดความครอบครองสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการแก่ฝ่ายกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เพราะเหตุที่ผู้ถูกร้องรู้จักกับสมเด็จฮุนเซน เป็นการส่วนตัวและจะดำเนินการเอื้อประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชาและข้อเท็จจริงได้ความตามไต่สวนว่า หลังจากที่ผู้ถูกร้องสนทนาทางโทรศัพท์กับสมผลเสร็จแล้วในวันที่ 16 มิ.ย.68 ผู้ถูกร้องเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงที่บ้านพิษณุโลก ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมไม่ทราบรายละเอียดข้อสนทนากับสมเด็จฮุนเซนว่าได้พูดอะไรที่เป็นข้อพิพาทในคดี อันเป็นการปกปิดเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบเจตนาที่แท้จริง
นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช.พยาน ได้ตอบคำถามว่าวันที่ 18 มิ.ย.68 พยานถึงทราบรายละเอียดที่ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุนเซน อันเป็นข้อความที่ทราบจากคลิปเสียงที่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชน ฉะนั้นการแจ้งที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กในวันที่ 16 มิ.ย.68 โดยปกปิดข้อความที่จะทำให้ผู้ถูกร้องได้รับความเสียหายในคดีนี้ จึงไม่มีผลลบล้างเจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกฟ้องที่ได้กระทำไปแล้วในวันที่ 15 มิ.ย.68
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่ขอความเห็นใจจากสมเด็จฮุนเซน จึงไม่ใช่เทคนิคในการเจรจาตามที่ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติกรรมของผู้ถูกร้องที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควรจะต้องมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัวต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหาย ต่อเกียรติภูมิของประเทศไทย ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย ขาดความไว้วางใจในนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศ อันมีลักษณะไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ถือเอาประโยชน์ส่วนตัว อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง
แม้ผู้ถูกร้องจะกล่าวอ้างว่าเป็นการเจรจาส่วนตัวเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุขโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหา อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทหารและประชาชนทั้งสองฝ่ายก็ตาม แต่การกระทำของผู้ถูกร้องส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้สาธารณะชนเกิดความสงสัยว่าผู้ถูกร้องจะทำการใด ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ สาธารณชนจึงขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฎิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องอันมีลักษณะเสื่อมเสียต่อกิตติศัพท์ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการปฎิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ
เมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนาเห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้ปรากฏในคลิปเสียง ผู้ถูกร้องจึงมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง อันทำให้ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) ส่วนข้อกล่าวหาอื่น ๆ ตามที่กล่าวมาในคำร้องไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เนื่องจากทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) นับตั้งแต่วันที่ศาลดำรงมีคำสั่งให้ผู้ร้องหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี 1 กรกฎาคม 2568 เมื่อความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/BtkyulnscHE
แท็กที่เกี่ยวข้อง แพทองธารชินวัตร