เลือกตั้งและการเมือง
เปิดคำพิพากษา ศาลอาญายกฟ้อง "ทักษิณ" คดี ม.112
22 ส.ค. 2568
61 views
วันนี้ (22 ส.ค. 68) เวลา 10.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคําพิพากษาคดีหมายเลขดํา อ.๑๘๖๐/๒๕๖๗ ที่พนักงานอัยการสํานักงานคดีอาญา 4 โจทก์ ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร จําเลย ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ฯ กรณีกล่าวหาจําเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๘ อันมี ลักษณะพาดพิงสถาบัน ชั้นพิจารณาจําเลยให้การปฏิเสธ และยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอนุญาตให้ ปล่อยตัวชั่วคราวโดยกําหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
โดยศาลอ่านคําพิพากษาต่อหน้าจําเลยในวันนี้ ประเด็นสรุปว่า พิเคราะห์พยานหลักฐาน โจทก์และจําเลยแล้ว เห็นว่า สําหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จําเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ. ๒ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคําฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตํารวจ และพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ แล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคําให้สัมภาษณ์จําเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจําเลยฉบับเต็มมา เป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ เป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของ จําเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนํามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ส่วนที่จําเลย อ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการติดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรง กับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐาน โจทก์ ประกอบกับจําเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ เป็นจําเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ําหนักรับฟังได้ว่า จําเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคําฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจําเลย
ในส่วนของข้อความที่จําเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้น เป็นการพูดหรือแสดงหรือพาดพิงหรือทําให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคํา ที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทําให้อับอายหรือไม่ หากเป็น เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคําพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทําเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่
เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคํา ให้สัมภาษณ์ของจําเลยมิได้ใช้คําว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙” โดยตรง และไม่ได้ใช้ ถ้อยคําสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคําราชาศัพท์หรือถ้อยคําที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คําสรรพนามบุรุษที่ ๓ ว่า “เขา” เรียกแทน บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคําว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคําให้สัมภาษณ์ของจําเลย เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นํามาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จําเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจําเลย จึงมีข้อสงสัย ถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จําเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ
ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตํารวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบ คําถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดําเนินคดีกับจําเลยนั้น ความจริงพยานต่างเห็นว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจําเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นําคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟชบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นําคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจําเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์ พบว่าบุคคลที่นํามาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจําเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอํานาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคําให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐาน ทั้งหมดที่โจทก์นําสืบมา จึงยังไม่มีน้ําหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จําเลยกล่าวข้อความตามคําฟ้องโดย เจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่าน ข้อความที่จําเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙
ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นําสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจําเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง สําหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ โจทก์กล่าวอ้างในคําฟ้อง แต่มิได้นําพยานหลักฐานใดๆ มานําสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟัง ไม่ได้ สําหรับความผิดฐานร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิด เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐาน โจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คําให้สัมภาษณ์ของจําเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ จําเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/i7bmNyitZZw
แท็กที่เกี่ยวข้อง ทักษิณชินวัตร