เลือกตั้งและการเมือง
ก้าวไกล แถลง ไม่มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หลังศาลรธน.วินิจฉัย 'ล้มล้างการปกครอง'
31 ม.ค. 2567
91 views
'พิธา-ชัยธวัช' แถลง ยืนยันพรรคก้าวไกลไม่มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลาย และแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติ บอกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำเสียโอกาสใช้ระบอบรัฐสภา หาข้อยุติความขัดแย้ง กระทบคนไทยทุกคน
วันที่ 31 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน ์ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกัน แถลงข่าว โดยนายชัยธวัช แถลงเป็นภาษาไทย นายพิธา แถลงเป็นภาษาอังกฤษ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายพิธาและพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองและสั่งยุติการกระทำว่า แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลว่า เป็นสิทธิ์การใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครอง แต่พรรคก้าวไกลขอยืนยันอีกครั้งว่าเราไม่ได้มีเจตนา เพื่อเซาะกร่อน บ่อนทำลาย หรือแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคำวินิจฉัยศาลในวันนี้ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทย ในระยะยาวด้วย เช่นอาจกระทบกับความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต อาจกระทบต่อความเข้าใจ และความหมายตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักการสำคัญของระบบการเมือง ไม่มีความชัดเจนแน่นอน อีกทั้งมีความคลุมเครือ ทั้งในแง่การตีความข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเจตนาว่าอย่างไร คือการล้มล้างการปกครอง
คำวินิจฉัยในวันนี้จะก่อให้เกิดปัญหาต่อดุลยภาพระหว่างประชาธิปไตย กับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมืองไทยในอนาคต อาจจะทำให้สังคมไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยในการหาข้อยุติความขัดแย้งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมในอนาคต
สุดท้ายคำวินิจฉัยวันนี้ อาจส่งผลต่อประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยอาจส่งผลกระทบต่อด้านลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง พรรคก้าวไกลขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนที่ส่งมาให้พวกเราตลอดหลังจากที่มีการอ่านคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยในวันนี้ จะไม่ได้กระทบต่อพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล แต่เป็นเรื่องของอนาคตระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
จากนั้น นายชัยธวัชและนายพิธา ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถามคำถามที่อยู่นอกเหนือจากคำแถลงว่า หลังจากนี้อาจมีคนไปยื่นยุบพรรคก้าวไกล มีการเตรียมรับมือไว้อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ยังคงต้องรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญโดยละเอียดอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถประมาทได้ในทางกฎหมาย ส่วนจะมีการต่อสู้อย่างไรนั้น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือว่าที่สุดแล้ว ไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่ไม่กังวล และไม่ประมาท
ส่วนมองว่า จะซ้ำรอยพรรคอนาคตใหม่หรือไม่นั้น นายชัยธวัช ระบุว่า ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ขั้นตอนต่อไปเราคงต้องรอเอกสารคำวินิจฉัยที่สมบูรณ์ตัวเต็ม เพื่อที่รับมือในทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการกล่าวถึงพฤติกรรม บุคคลภายในพรรคก้าวไกล ทั้งการเข้าชื่อแก้ไข มาตรา 112 ประกันตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหา นายชัยธวัช ระบุว่า เราค่อนข้างกังวลคำวินิจฉัย ที่เราไม่มั่นใจในหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเจตนา พร้อมยกตัวอย่างเช่น การจะบอกว่ามี สส.พรรคก้าวไกลไปประกันตัว ผู้ที่ถูกกล่าวหาคดี 112 ถือว่าเป็นองค์ประกอบว่าล้มล้างการปกครองก็มีปัญหา เท่ากับว่าหลักเกณฑ์ตามกฏหมาย ที่รับรองในรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าหลักที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อน การกล่าวหาบุคคลใดข้อหาใด ต้องกล่าวหาอยู่บนพื้นฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มันทำให้ขัดกัน และการประกันตัวผู้ต้องหาไม่ว่าจะข้อหาใดๆ เป็นการใช้สิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมของทุกคน เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ยกเว้น ว่าข้อกล่าวหานี้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือห้ามประกัน หรือใครเข้ามาประกันตัว หรือใครเข้ามาเกี่ยวข้องถือมีความผิดไปด้วย
ฉะนั้นถ้าผู้พิพากษาที่วินิจฉัยให้ผู้ที่ถูกล่าวหา ในการกระทำผิด ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองไปด้วยหรือไม่ เราจึงกังวล แต่คำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ในการตีความ ความไม่ชัดเจนแน่นอนในการใช้กฎหมาย อะไรคือ ขอบเขต
ส่วนนโยบายต่างๆที่เคยเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 นั้น คำวินิจฉัยที่ตุลาการฯอ่าน มี 2 เรื่อง คือ สั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ และโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มียกเลิกการประมวลกฎหมายอาญา 112 อันหมายความว่า หลังจากนี้ถ้าก้าวไกลจะต้องห้ามพูด 112 โดยสิ้นเชิงหรือไม่ หรือการพูดให้เพิ่มโทษ ในมาตรา 112 ถึงจะทำได้หรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมสื่อมวลชน หรือนักวิชาการที่แสดงความคิดเห็นต่อมาตรา 112 ก็จะทำให้ได้หรือเปล่า หรือแสดงแบบไหนถึงผิด หรือมีการแสดงความคิดเห็นว่ามาตรา 112 อาจจะถูกปรับปรุง จะมุ่งเจตนาไปสู่การล้มล้างหรือไม่ อย่างรายงาน คอป. ที่เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่ง สส.ก้าวไกลก็นำมาใช้ ข้อเสนอดังกล่าวถือว่า เป็นการล้มล้างการปกครองด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นการเสนอของอาจารย์คณิต ที่เสนอให้ลดโทษ โดยให้สำนักพระราชวัง เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแทนประชาชน แทนที่จะให้ประชาชนเป็นผู้ร้องทุกข์ดำเนินคดี ต้องดูคำวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะในอนาคตอาจจะทำให้เกิดปัญหา ซึ่งจากนี้ไปหากมีการเสนอกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้ามาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องรอให้ผ่านวาระที่ 3 ก่อน ซึ่งคำวินิจฉัยวันนี้แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อปัญหาในอนาคตได้
ส่วน สส. 44 พรรคก้าวไกล ที่เคยเข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 อาจถูกลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายชัยธวัช ระบุว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น จากนี้การดำเนินการใดๆที่เกินสมควร ยืนยันจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นปมปัญหาประเด็นความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น พรรคก้าวไกลมีเจตนาที่จะยุติ ลดการนำสถาบันพระมาหากษัตริย์มาเป็นข้อขัดแย้ง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เจตนาข้อเสนอ ม.112 ของพรรคก้าวไกล ไม่ต้องการให้นำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่เปิดช่องให้ใครผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเอง และอาศัยความจงรักภักดีนั้น แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่ปฏิเสธไม่ได้ คือเจตนาที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลไม่ใช่อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกลที่ใช้นโยบายนี้ในการหาเสียง ยังมีพรรคการเมืองอื่นอีกด้วย และที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าใช้ ม.112 หาเสียง เป็นการลดสถานะสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ามาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง มาเป็นคู่ขัดแย้งประชาชน ซึ่งอยากถามว่าพรรคการเมืองที่รณรงค์หาเสียงว่าตัวเองเป็นผู้จงรักภักดี อีกพรรคหนึ่งไม่จงรักภักดี หรือโจมตีอีกพรรคหนึ่งว่ามีเจตนาที่บ่อนทำลายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือขึ้นรูปราชวงศ์ในเวทีหาเสียงถือว่าเป็นการลดทอน บ่อนเซาะทำลายทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่
ส่วนคำวินิจฉัยจะมีผลต่อกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอกระทบต่อสภาหรือไม่ โดยเฉพาะ พรบ.นิรโทษกรรม กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112 นายชัยธวัช ระบุว่า สิ่งที่กังวล เพราะการตีความที่อาจจะไม่มีขอบเขตไร้หลักเกณฑ์ โดยเฉพาะการเสนอในเรื่องของนิรโทษกรรม ผู้ที่ถูกดำเนินคดี หรือผู้ต้องขังจากข้อหามาตรา 112 ถือว่าลดการคุ้มครอง บ่อนเซาะทำลาย มีเจตนาซ่อนเร้น ล้มล้างการปกครองก็ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่กระทบต่อการปกครองในอดีต ตั้งแต่ปี 2478-2499 ที่ละเว้นโทษ ในฐานความผิดหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ ที่ไม่ได้มีปัญหาเลยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ปัจจุบันถูกวินิจฉัยถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง นี่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ในปัจจุบันซึ่งในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะถูกวินิจฉัยออกมาแบบไหนอีก
ส่วนมีโอกาสถอย พรบ.นิรโทษกรรม เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่ถอยเรื่องแก้ไข มาตรา 112 หรือไม่ ขอให้เป็นเรื่องของกลไกรัฐสภา เพราะร่างกฎหมายเสนอไปแล้ว เนื่องจากสุดท้ายยังคิดว่าเสียงส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อยุติที่ทุกคนยอมรับร่วมกันได้
ส่วนกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เตรียมเดินทางยื่นยุบพรรคก้าวไกลในเวลา 10.00 น. พรุ่งนี้ ขอดูคำร้องก่อน
ด้านนายพิธา ได้กล่าวเป็นภาษาไทย ว่า เท่าที่ฟังมาความคิดของผมสอดคล้องกับนายชัยธวัช พูดไปก็ต้องยืนยันเจตนาว่าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่มีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด และไม่มีความตั้งใจที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความมั่นคงของชาติ และที่พูดเป็นภาษาอังกฤษคือกังวล อยู่ 2-3 เรื่องคือ นิยามคำว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกังวลขอบเขตระหว่างนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้และเรื่องเกี่ยวคำวินิจฉัยว่าอะไรที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ในเรื่องของเจตนาและถ้าลึกกว่านั้น จะเป็นเรื่องสำคัญทางนิติรัฐ นิติธรรม เช่นการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน สิทธิการประกันตัว สิทธิการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง ความเปลี่ยนแปลงในสังคม ตนรู้สึกเสียดาย โอกาสที่จะออกจากความขัดแย้ง โดยนามสถาบันพระมหากษัตริย์มาอยู่ในความขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดูในรายละเอียดและกลับมาหารือกันอีกครั้ง
แท็กที่เกี่ยวข้อง พรรคก้าวไกล ,ศาลรัฐธรรมนูญ ,ม.112 ,ล้มล้างการปกครอง ,ศาลวินิจฉัยม.112