เลือกตั้งและการเมือง
“เท้ง” นำแคนดิเดต ปชน.แถลงขอโทษประชาชน ผิดหวังผลักดัน รธน. ไม่สำเร็จ มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง โดยเอาหลังพิงประชาชนมากที่สุด
4 ชั่วโมงที่แล้ว
44 views
เมื่อเวลา 12.00น. วันที่ 12 ธ.ค. 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาชน ได้แก่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค กล่าวถึงทิศทางการทำงานของพรรค ภายหลังราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชกฤษฎีกายุบสภาสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568
โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้ง ปี 66 ที่ผ่านมาสิ่งที่พวกเราได้เผชิญตั้งแต่พรรคก้าวไกล ที่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง เรามีการทำเอ็มโอยูกับพรรคเพื่อไทย แต่เราเองไม่สามารถผลักดันจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากเรื่องของเสียงสว. และการฉีกข้อตกลงเอ็มโอยู
2 ปีที่ผ่านมามีถอดถอนนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้งพรรคก้าวไกลถูกยุบจนกลายมาเป็นพรรคประชาชน เราผ่านกระบวนการนิติสงครามมามากมายทำให้พรรคประชาชนเองมองเห็นว่า เราไม่สามารถผลักดันประเทศไปได้ไกลกว่านี้ถ้าไม่เดินหน้าแก้ไข ระบบการเมือง กติกาสูงสุดของประเทศให้เป็นไปตามหลักสากลมีความเป็นประชาธิปไตย นั่นคือการมุ่งหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า จึงเป็นที่มาที่เราทำข้อตกลง MOA กับพรรคภูมิใจไทย แต่ท้ายที่สุดผลจากการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ (11ธ.ค.) รวมถึงสถานการณ์ล่าสุดที่ได้มีการประกาศยุบสภาไป ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน เรารู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เราเองยังผลักดันไม่สำเร็จ และขอโทษประชาชนที่ภารกิจในครั้งนี้ถึงแม้จะผลักดันอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดทางการเมืองที่เป็นอยู่แต่เราไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดได้ ในการเดินหน้ากระบวนการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปพร้อมกับการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมรัฐสภาก็ยังมีมติให้มีคำถามประชามติในครั้ง1 ซึ่งตอนนี้มีข้อผูกพันตามกฏหมายตามพระราชบัญญัติประชามติ ที่ได้ส่งไปยังคณะรัฐมนตรีแล้ว หวังว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการจะดำเนินตามข้อกฎหมายที่จะพยายามจัดการเลือกตั้งครั้งหน้าไปพร้อมพร้อมกับการทำประชามติในส่วนของคำถามที่หนึ่ง เพื่อให้อย่างน้อยน้อยน้อยกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เดินหน้าได้อยู่
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนความพร้อมของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตอนนี้เรามีความพร้อมในการส่งผู้สมัครครบทุกจังหวัด ทุกเขต อยากสื่อสารกับประชาชนว่าสิ่งที่ผ่านมาเราเดินทางมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ เราไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองมาเพื่อทำงานการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราไม่ได้ต้องการจำนวนเก้าอี้ สส.ในสภาเพื่อต่อรองตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเท่านั้น แต่เราเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
บริบทการเมืองช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 จนถึงปี 66 และปัจจุบัน เราเห็นแล้วว่าตราบใดที่เสียงของประชาชนยังไม่เข้มแข็งพอไม่ทรงพลังพอ โดยพรรคประชาชนเป็นยานพาหนะที่เรายังไม่สามารถที่จะรวบรวมเสียงของประชาชนให้เข้มแข็งพอเราก็จะยังไม่ชนะระบบกติกาทางการเมืองที่เป็นอยู่ ที่ประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน
การดำเนินงานทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ได้คิดว่าตัวเองและพรรคกลายเป็นเด็กไร้เดียงสาแต่อย่างใด สิ่งที่พยายามทำ อยากให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อตกลง MOA บางส่วนอาจบอกว่าเขาทำตามข้อตกลงทุกอย่าง หรือบางส่วนอาจตีความว่าเขาหักข้อตกลงกันรึเปล่า ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องวิเคราะห์ และสุดท้ายคนที่จะเป็นผู้ตัดสินก็คือพี่น้องประชาชน
ดังนั้นภารกิจในครั้งหน้าตนมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะไม่หักหลังประชาชนด้วยกันเอง ภารกิจของพรรคประชาชนในครั้งถัดไปคือการมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง โดยเอาหลังพิงประชาชนมากที่สุดทำให้ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พวกเรามากที่สุดทั้งชุดนโยบาย การเปิดตัวทีมผู้บริหารต่อจากนี้ ทั้งการประกาศความพร้อมที่จะมีผู้สมัครทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ เพื่อทำให้พรรคประชาชนเติบโตขึ้นเข้มแข็งมากเพียงพอที่จะกำกับทิศทางรัฐบาลชุดหน้าและจะได้ไม่ถูกหักหลังทางการเมือง เพื่อทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ไกลกว่านี้
ต่อมา นายณัฐพงษ์ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่า การผิด MOA ครั้งนี้ คิดไว้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่า อย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง เนื่องจากพรรคภูมิใจไทย ก็ยังมีเงื่อนไขอยู่
โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หากดูตามข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร แน่นอนที่สุดเป็นตามเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีให้ ตามข้อเท็จจริงในทางการปฏิบัติ เราไม่สามารถที่จะลงรายละเอียดได้ทั้งหมด ตั้งแต่การเซ็น MOA อยู่แล้ว ว่าเนื้อหารัฐธรรมนูญจะเป็นแบบไหน เพราะหากย้อนไปดูบันทึกที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ จะเห็นว่ามีข้อถกเถียง มีเหตุผลที่แตกต่างหลากหลาย ของทั้ง สส.แต่ละพรรค และ สว.
ดังนั้น ในทางปฏิบัติ MOA ก็ต้องวางไว้เป็นหลักกว้างๆ ที่พรรคประชาชนมีจุดมุ่งหมายนอกจากการยุบสภาโดยเร็วที่สุด คือต้องมีการเดินหน้าการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เราอยากให้มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด
ประการที่สอง อยากให้ทุกคนย้อนกลับไปดู ว่าร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งมีตัวแทนจากทุกพรรค ที่ผ่านออกมาว่าไม่มี สว. 1 ใน 3 และมติของวิปรัฐบาล ก่อนที่จะมีการโหวต ทุกอย่างสอดคล้องกัน ว่าพรรคภูมิใจไทยเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก
แต่เมื่อตนได้รับทราบข้อเท็จจริงในช่วงเที่ยงของเมื่อวานนี้ เราเริ่มเห็นแล้วว่า ท่าทีของพรรคภูมิใจไทย อาจจะไม่ได้โหวตตามมติของวิปรัฐบาล ก็เป็นสิ่งที่เราเองต้องช่วยกันตั้งคําถาม และอยากให้ทั้งสื่อมวลชนและประชาชนถามคําถามต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ว่าเหตุใดพรรคภูมิใจไทยถึงเลือกที่จะโหวตสวนต่อมติวิปรัฐบาลของตัวเอง
เนื่องจากเราได้มีการแสดงจุดยืนก่อนหน้านี้มาตลอด ทั้งผ่านการทํางานในกรรมาธิการและผ่านการประสานงานกับเพื่อนสมาชิกด้วยกันเอง ว่าพรรคประชาชนไม่สามารถจะยอมรับได้ ถ้ามีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ยังคงอํานาจ สว. 1 ใน 3 ไว้อยู่ ดังนั้น เรื่องการผิด MOA หรือไม่ ก็อยากให้ถามคําถามกับนายกรัฐมนตรีด้วย
สําหรับเรื่องผลเฉพาะหน้า ตนขอยืนยันว่า การเซ็น MOA กับพรรคภูมิใจไทย เราได้มีการประเมินล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าอาจเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น และเราก็ตัดสินใจที่จะใช้เสียงของเราเท่าที่มีอยู่ เพื่อพยายามผลักดันกระบวนการในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นจริงมากที่สุด เชื่อว่า ตลอดกระบวนการที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กระบวนการในการเดินหน้าจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดูเป็นจริงมากที่สุด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้
ส่วนกระบวนการต่อไปในครั้งหน้า อย่างน้อย ๆ เงื่อนไขของคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างแรกคือเรื่องคําถามที่หนึ่ง ซึ่งต้องมีการจัดทําคําถามประชามติก่อน และรัฐสภาได้ผ่านมติไปเรียบร้อยแล้วนั้น ความหวังในการเดินหน้าจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พวกตนก็ยังไม่ได้ทิ้ง ยังคงเดินหน้าอยู่อย่างเต็มที่ ย้ําว่า เสียงของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยิ่งประชาชนเห็นด้วยกับพวกเรามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีโอกาสในการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีความสําเร็จมากขึ้นได้เท่านั้น
เมื่อถามว่าเสียใจหรือไม่ที่จัดทำ MOA และโหวตนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีความเสียใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกระบวนการโหวตที่ผ่านมา เราได้มีการรับฟังความคิดความเห็นจากสมาชิกพรรค ผู้เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงอย่างรอบด้านแล้ว หากย้อนกลับไปในสถานการณ์ ณ ตอนนั้น ก็มีข้อความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายพอสมควร ซึ่งเราเองก็ได้ข้อสรุปที่เป็นเสียงส่วนมากจากสมาชิกพรรคทุกภาคส่วนว่า เราจําเป็นต้องทําแบบนี้ เพื่อให้การเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งหมายถึงการยุบสภาและการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สามารถเดินหน้าไปได้พร้อมๆ กัน ในวันนั้นทุกคนไม่สามารถบอกได้หรอกว่า เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องทําอย่างดี อย่างเต็มที่ที่สุด จากสิ่งที่เรามี และวันนี้ทั้งจากการโหวต และการที่ตนได้ขอนับคะแนนใหม่ ก็ทําให้ประชาชนเห็นว่า เราได้พยายามทําทุกอย่างจนสุดท้ายอย่างเต็มที่ เพื่อคงไว้ในการเดินหน้ากระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญ ให้เป็นทางออกของประเทศ
ส่วนที่คะแนนนิยมตกต่ำ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่พวกเราเข้าใจ และเฝ้าสังเกตว่า เสียงสะท้อนของประชาชนทุกๆ เสียงมีความหมาย เชื่อว่าการกระทําและการทํางานของพวกเราจะเป็นข้อพิสูจน์ รวมถึงการเลือกตั้งในครั้งหน้า นอกจากเรื่องนโยบาย ที่ตนเชื่อว่า พรรคประชาชนมีความเข้มแข็งมากที่สุด มีข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องทีมผู้บริหาร ซึ่งจะทําให้พวกเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนถล่มทลาย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
สําหรับภาพลักษณ์ทางการเมือง การทํางานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เราจะเห็นว่าข้อตกลง MOA ที่เกิดขึ้น รวมถึงที่หลายฝ่ายมองว่าถูกฉีกนั้น เป็นข้อตกลงที่เราพยายามทําการเมืองแบบตรงไปตรงมา ว่าเรามีการตัดสินใจใช้เสียง สส.ในสภา ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ไปโหวตนายกรัฐมนตรีเพื่ออะไร มีการระบุไว้และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอย่างเต็มที่มากที่สุด
“เรื่องการดําเนินการทางการเมืองที่ผ่านมา ผมไม่ได้คิดว่าผมและพรรคประชาชนกลายเป็นเด็กไร้เดียงสาแต่อย่างใด แต่สิ่งที่พวกเราพยายามทํา คือพยายามทําให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น บางส่วนอาจจะบอกว่าเขาทําตามข้อตกลงทุกอย่าง บางส่วนอาจจะตีความว่า เป็นการหักข้อตกลงกันหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องวิเคราะห์กัน แต่สุดท้าย คนที่จะเป็นคนตัดสินในคูหาเลือกตั้ง ก็คือประชาชน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ ขอให้ลองมองการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเมืองที่อยู่ภายใต้กฎกติกาของรัฐธรรมนูญปี 60 ว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้ช่วยกําหนดอนาคตของประเทศตามเจตจำนงของประชาชนหรือไม่ ตนยอมรับว่าตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน เรายังไม่สามารถชนะการเลือกตั้ง ที่เรามีความเข้มแข็งพอ ที่จะสามารถเอาเสียงของประชาชนชนะความอํานาจแบบเดิมที่เขาต้องการฉุดรั้งประเทศนี้ไว้ได้อยู่
"เช่นเดียวกันผลงานที่ผ่านมา สมัยอนาคตใหม่ ที่หลายคนวิเคราะห์ว่าเราต่ํา 10 เราได้มา 80 กว่าที่นั่ง สมัยก้าวไกลไม่เคยมีใครคิดว่าเราจะชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง เราก็สามารถชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น โจทย์ของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมคิดว่ามีวัตถุประสงค์เดียวอย่างเดียวเท่านั้น คือเราเอาหลังอิงประชาชน ทําให้ประชาชนเชื่อมั่นเรามากที่สุด ทําให้เราเติบใหญ่ และมีความเข้มแข็งมากพอ ที่เราจะกลายเป็นแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาลที่กํากับทิศทางของรัฐบาลได้จริงๆ และจะไม่ได้ถูกหักหลังทางการเมือง เพราะผมเชื่อว่าเสียงของพ่อแม่พี่น้องประชาชน มีความยิ่งใหญ่มากที่สุด ถ้าเราเข้มแข็งพอ ด้วยเสียงของประชาชน จะไม่มีใครที่สามารถหักหลังพวกเราได้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าประชาชนได้อะไรจาก MOA นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ข้อตกลง MOA ที่เราเสนอไปแบบปาท่องโก๋ คือยุบสภาพร้อมกับการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากย้อนกลับไปในวันโหวตนายกรัฐมนตรี หลายคนก็มีการวิเคราะห์กันไปแล้วว่า การโหวตพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนไหนที่จะมีโอกาสในการยุบสภามากน้อยกว่ากัน แต่อย่างน้อยในวันนี้ ตนเชื่อว่าสิ่งที่เราได้พยายามอย่างเต็มที่ คือเดินหน้าสู่การยุบสภา เดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ คืนอํานาจให้กับประชาชน ไปพร้อมๆ กับคําถามแรกในการจัดทําประชามติ เพื่อเปิดประตูสู่การทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่สามารถผ่านสภามาได้
เมื่อถามว่าระหว่างเป็นรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ยอมรับได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยยอมรับได้อยู่แล้ว พยายามใช้ทุกกลไกในสภา ผ่านทั้งชั้นกรรมาธิการ การสื่อสารผ่านสื่อมวลชน เราได้ทําหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่ เชื่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเป็นจุดที่เราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
เมื่อถามย้ำว่าผิดหวังหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ต้องบอกว่ากลไกในการตรวจสอบที่ผ่านมา ในฐานะฝ่ายค้านเราทําอย่างเต็มที่ทุกช่องทางอยู่แล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อวานนี้ที่ตนได้มีการอภิปรายไป เพื่อต้องการชี้ให้ประชาชนเห็น ว่าตกลงแล้ว พรรคภูมิใจไทยมีความจริงจังหรือจริงใจ ในการเดินหน้าจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ ตามข้อเท็จจริง เรารู้ตั้งแต่ช่วงเที่ยงเมื่อวานแล้ว ว่าการลงมติของพรรคภูมิใจไทยจะเป็นอย่างไร การอภิปรายในสภา เพราะจะเป็นบันทึกในที่ประชุมให้ประชาชนเห็น ยืนยันในจุดยืนเรา
หากพรรคภูมิใจไทย ยังโหวตตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยังทําให้กระบวนการในการเดินหน้าจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เดินหน้าต่อได้ ก็ยังไม่มีเหตุผลที่พรรคประชาชน จะยื่นญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวาน หรือในอนาคตเร็วๆ นี้ เพราะเรายังคงเชื่อว่า จะมีโอกาสในการผ่านวาระที่สามได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อเราให้โอกาสไปแล้ว กลายเป็นว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ทําแบบนั้น และนายกรัฐมนตรีเลือกจะยุบสภา เพราะฉะนั้น ในการตัดสินใจที่ผ่านมา ตนไม่ได้เสียใจ ที่เราไม่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เราพยายามอย่างเต็มที่ ไม่เอาการเมืองเป็นตัวตั้ง
เมื่อถามว่านายอนุทินได้ติดต่อมาหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า "ผมได้มีการพูดคุยกับสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากอยู่ในสภาด้วยกัน และผมก็มีความพยายามในการต่อสายถึงท่านนายกฯ หนึ่งครั้ง แต่ท่านไม่ได้รับสาย เมื่อวานนี้ตัวผมเองไม่ได้มีการพูดคุยกับท่านนายกฯ แต่อย่างใด"
หากพรรคภูมิใจไทยยังยืนยันที่จะโหวตตามกรรมาธิการเสียงข้างน้อย เราคงยอมให้ร่างนี้เข้าสู่วาระที่สามไม่ได้ และก็คงจะต้องร้องขอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา แต่เมื่อวานมีตัวเลือก แม้หลายท่านจะบอกว่า ตนอภิปรายก่อนการโหวตด้วยการกดบัตร แต่ก็จะเห็นว่า เมื่อกดบัตรแล้ว เสียงก็ยังไม่เกิน 30 จึงพยายามใช้วิธีการนับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ เพื่อให้มีเวลาในการตัดสินใจ จนวินาทีสุดท้าย คําถามก็ต้องกลับไปที่นายกรัฐมนตรีแล้วว่า ให้โอกาสขนาดนี้ ทําไมยังเลือกแบบนี้อยู่
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีตอบ เป็นข้ออ้างหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคงตอบแทนไม่ได้ว่าตกลงแล้วอ้างหรือไม่อ้าง แต่อยากให้นําข้อเท็จจริงต่าง ๆ เหล่านี้กลับไปถามนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เราไม่เคยตัดสินใจทางการเมืองด้วยพื้นฐานความเชื่อใจส่วนบุคคล แต่อยู่บนกรอบ MOA ที่ได้มีการตกลงและประกาศสู่สาธารณะ และเชื่อว่า ข้อผูกมัดเพียงอย่างเดียวที่จะบีบให้พรรคภูมิใจไทย หรือกลุ่มก้อนทางการเมืองทุกกลุ่มก้อนเดินหน้าไปตามสิ่งนั้น คือข้อตกลงที่เขาได้ทําไว้กับประชาชน
ส่วนที่นายอนุทินไม่ปิดโอกาสจับมือ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดยืนของพรรคประชาชนในตอนนี้ คือ มีเราไม่มีเทา ฉะนั้น หากจําเป็นที่เราจะต้องเป็นพรรคร่วม แล้วมีรัฐมนตรีคนหนึ่งคนใด ที่หลายคนเห็นแล้วว่า เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสีเทา ก็คงเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ ส่วนสูตรในการร่วมรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เป้าหมายของพรรคประชาชนมีเพียงอย่างเดียว คือต้องขอคะแนนเสียงจากประชาชน
เมื่อถามว่าคดี 44 สส. จะรับมืออย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในทางกฎหมายเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ ไม่ได้ทําให้พวกเราเสียสมาธิแต่อย่างใด ตอนนี้ตนเองก็เตรียมขึ้นไปประชุมกับทีมงานอีกหลายส่วน เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งในครั้งหน้า
ส่วนต้องขอโทษประชาชนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้มีการกล่าวคําขอโทษไปแล้ว และอยากจะขอโทษต่อประชาชนอีกครั้ง ที่เราไม่สามารถผลักดันวาระตาม MOA ได้สำเร็จ เรื่องการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เราอยากให้มีการผ่านได้ทั้งสามวาระ แต่ตนยังอยากให้ทุกคนมีความหวังอยู่ เพราะการทํางานของพวกเราที่ผ่านมา เราทํางานการเมืองกันด้วยความหวัง เราเชื่อว่าการเมืองคือเรื่องของความเป็นไปได้
เมื่อถามว่าทำไมก่อนหน้านี้ ขอให้พรรคเพื่อไทยชะลอการยื่นซักฟอก กล่าวว่า ตนไม่เคยร้องขอด้วยประโยคแบบนี้ ว่าอยากให้พรรคเพื่อไทยชะลอการยื่น แม้ที่ผ่านมาจะมีการให้ข่าวจากตัวแทนพรรคเพื่อไทยบ้างว่า พรรคประชาชนมีการร้องขอ ต้องบอกว่ามีการพูดคุยจริง แต่คล้ายกับเป็นการเปิดหน้ากระดานทางการเมืองให้เห็นทั้งหมด ว่าหากพรรคเพื่อไทยจะยื่นในตอนนี้ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ยื่นไปแล้วประเทศได้หรือเสียอะไร ก็เป็นการตัดสินใจของเขาเอง และมีการยืนยันทุกครั้งว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยจะยื่น พรรคประชาชนก็พร้อมที่จะเดินหน้าทําหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจเช่นเดียวกัน ย้ําว่า ไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเรื่องการชะลอการยื่น
เป็นสิ่งที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะให้ความเห็นได้ แต่ตนเชื่อว่าวิธีการทํางานของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนอาจมีข้อแตกต่างกัน พรรคเพื่อไทยอาจจะบอกว่า เห็นหรือไม่ ประสบการณ์เขาเคยผ่านมาแล้ว เชื่อไม่ได้ แต่วิธีการทํางานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยตอนเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็คงไม่เหมือนกับพรรคประชาชน ที่เราโหวตให้นายอนุทิน ผ่านการทําข้อตกลง ที่ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ตนคงขอไม่ให้ความเห็นกลับไป ในการแสดงความคิดเห็นของนายจุลพันธ์
แท็กที่เกี่ยวข้อง