เลือกตั้งและการเมือง

"มาริษ" แนะรัฐปกป้องอธิปไตยเด็ดขาดได้ แต่ต้องมี "วุฒิภาวะทางการทูต" ไม่ผลักมิตรประเทศ

13 พ.ย. 2568

46 views

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่กำลังลุกลามและมีความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างชัดเจน ว่า จากรายงานของกองทัพบก เราเห็นพฤติกรรมรื้อรั้วลวดหนาม–ลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นเขตอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์ และนำไปสู่การบาดเจ็บของทหารไทยถึง 4 นาย

แต่สิ่งที่น่าห่วงไปกว่านั้นคือ แถลงการณ์ล่าสุดของ นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาไทยว่ายิงก่อนและถึงขั้นกล่าวอ้างว่าไทยวางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารตัวเอง เพื่อสร้างสถานการณ์ พร้อมเร่งเดินเกมฟ้องร้องไทยในทุกเวที ไม่ว่าจะเป็น UN หรืออาเซียน

นายมาริษ เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา และอนุสัญญาออตตาวาเท่านั้น แต่ยังเป็นความพยายามเปลี่ยนสถานะผู้ละเมิดให้กลายเป็นผู้ถูกกระทำบนเวทีโลก และที่น่าห่วงกังวลมากขึ้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรี เยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บ และให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว ปฏิเสธที่จะรับฟังและไม่ต้องการหารือกับมิตรประเทศใด ๆ ท้าทายประเทศมหาอำนาจโดยไม่มีความจำเป็น เสี่ยงทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ขณะที่ กัมพูชาได้เล่นเกมรุกสร้างข่าวที่บิดเบือน ฟ้องร้องประชาคมโลกว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อนในทุก ๆ เวที

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน คือประณามการละเมิดอธิปไตยไทยอย่างเป็นทางการ ไทยต้องประกาศจุดยืนให้ชัดว่า กัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพ การตอบโต้ของไทยเป็นสิทธิในการป้องกันตัวตามกฎหมายระหว่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ต้องทำทันที เพื่อไม่ให้ความจริงถูกกลบด้วยข้อมูลบิดเบือน

เดินหน้าการทูตเชิงรุก ไม่ใช่ปิดประตูใส่โลก โดยไทยต้องรีบประสานมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ในฐานะอดีตและว่าที่ประธานอาเซียน พร้อมพูดคุยกับสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันและสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิง

เร่งชี้แจงต่อ UN อย่างชัดเจน เพื่อสกัดเกมของกัมพูชา และให้ UN มีมติให้ทั้งสองประเทศแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกันเอง โดยใช้กลไกของอาเซียน เหมือนครั้งที่รัฐบาลเพื่อไทยได้รณรงค์จนประสบความสำเร็จไปแล้ว ใช้เวทีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญากรุงออตตาวา โดยเฉพาะการประชุมครั้งที่ 22 ของรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาซึ่งจะมีขึ้นที่นครเจนีวาในเดือนธันวาคม 2568 ชี้แจงความชอบธรรมของไทย

นี่คือการกลับไปสู่ยุทธศาสตร์ที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วจาก “โลกล้อมกดดันไทย” ให้กลายเป็น “โลกล้อมกดดันกัมพูชา” แต่ยุทธศาสตร์นี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อไทย ไม่ปิดกั้นการหารือและชี้แจงกับมิตรประเทศ และไม่ใช้ท่าทีที่ท้าทายกับประเทศมหาอำนาจ

นอกจากนี้ปกป้องชีวิตทหารไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ รัฐบาลควรเร่งจัดหาและร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อ ใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด ใช้ surveillance ตามแนวชายแดน ขอรับการสนับสนุนหน่วยสุนัขค้นหาทุ่นระเบิดจากรัฐภาคีออตตาวา เพื่อให้การทำงานของทหารปลอดภัยที่สุด และลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด

รวมถึงแก้ต้นตอของปัญหา ปราบอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งสแกม ความตึงเครียดไทย–กัมพูชา ไม่อาจแก้ได้ หากยังมีปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ การค้ามนุษย์และเครือข่ายอาชญากรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นตัวหล่อเลี้ยงความขัดแย้ง ไทยต้องแสดงบทบาทนำในการสร้างความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง, อาเซียน และในกรอบขององค์การสหประชาชาติ UNODC เพื่อทำลายวงจรเงินผิดกฎหมายอย่างจริงจัง และช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ตามแผนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้ทำไว้และทำสำเร็จมาแล้วบางส่วน

นายมาริษ ย้ำว่า ไทยต้องปกป้องอธิปไตยอย่างเด็ดขาด แต่ต้องทำด้วยวุฒิภาวะทางการทูต ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่สร้างความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น อย่าให้กัมพูชาพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ถูกรังแกบนเวทีโลก เราต้องเปลี่ยนเกมให้กลับไปสู่โลกล้อมกัมพูชา เหมือนที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้ว และรัฐบาลจะต้องไม่ผลักมิตรประเทศให้ออกห่าง และกลับมาใช้พลังของการทูตควบคู่กับการปกป้องชายแดนไทยอย่างมีวุฒิภาวะและเป็นมืออาชีพ

คุณอาจสนใจ

Related News