เลือกตั้งและการเมือง
“จุลพันธ์” ชี้ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกตามระบบ “อนุทิน” อย่าอารมณ์ร้อนชิงยุบสภาหนี
7 พ.ย. 2568
32 views
“จุลพันธ์” ชี้ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกตามระบบ “อนุทิน” อย่าอารมณ์ร้อน ชิงยุบสภาหนีกลัวถูกด่าฟรี ขอรัฐบาลอย่าเอาแก้รัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน ย้ำให้ความสำคัญแต่มองสำเร็จยาก มั่นใจเพื่อไทยได้ 200 ที่นั่งตามเป้า รับพรรคเพลี่ยงพล้ำ แต่กระแสยังไม่ตก
วันที่ 7 พ.ย.2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกมา ระบุว่าหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจจะมีการยุบสภา เพราะไม่อยากถูกด่าฟรี ว่า ตนมองว่าช่วงนี้นายกรัฐมนตรีอาจจะอารมณ์ร้อน แต่กระบวนการตามระบบประชาธิปไตยในการยื่นญัตติ เช่น มาตรา 151 คือการตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องด่าหรือไม่ด่า พวกตนตรวจสอบ เพราะเป็นฝ่ายค้าน และเมื่อใครเป็นฝ่ายค้านกระบวนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นเรื่องปกติตามระบบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นอยากให้รัฐบาลมองว่า เป็นเรื่องการตรวจสอบเป็นการตรวจการบ้านและหากมองว่าประพฤติถูกต้อง ไม่มีเรื่องทุจริตคอรัปชั่น เรื่องที่เขาว่ากันว่าปัดเป่า ทั้งคดี ฮั้ว สว. เขากระโดง ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ต้องห่วง ถ้าอภิปรายไปแล้วยังเป็นหนังเรื่องเก่า เนื้อเรื่องเก่า ก็เป็นความเสียหายของฝ่ายค้านที่จะดำเนินการในการอภิปราย และเป็นเวทีเปิดสภาไม่ใช่พูดแค่ฝั่งเดียว
พวกตนอภิปรายได้ ท่านก็สามารถตอบได้หากตอบได้เคลียร์ ตอบได้ชัด ก็เป็นโอกาสของรัฐบาลในการชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่ใช่แค่กับสภาเท่านั้น แต่กับประชาชนชาวบ้านที่ได้ฟังด้วย อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องการไปด่าหรือไม่ด่ากันแต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องการตรวจสอบตามระบบและตนก็ต้องมองหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างแรกคือข้อมูลการกระทำความผิดนั้นสมบูรณ์หรือยัง สำเร็จหรือยัง มีการดำเนินที่ผิดพลาดโดยรัฐบาลจริงหรือไม่ ตนก็ต้องดู
นายจุลพันธ์ ยังกล่าวว่า ต้องมองเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญประกอบด้วย เพราะวันนี้กรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมเดินหน้าไปอย่างช้าๆ ซึ่งตนอยู่ในกรรมาธิการด้วย มองว่า โอกาสที่จะสำเร็จเป็นไปได้น้อย เพราะบรรยากาศในที่ประชุมการอภิปรายของแต่ละฟากฝั่งอ่านกันออก ว่าโอกาสที่จะผ่านวาระ 3 มีมากน้อยเพียงใด หากติดตามบันทึกการประชุม ซึ่งไม่ใช่ความลับเป็นที่เปิดเผยจะรู้ว่าใครพยายามผลักดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมันติดขัดอะไร
สุดท้ายไม่อยากให้รัฐบาลเอาเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวประกัน เพราะพวกตนต้องดูผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก พวกเราคำนึงถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันนี้แน่นอน ตนเชื่อว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนถึงแม้จะเข้าสู่กระบวนการ MOA และตั้งรัฐบาลมา เขาก็ต้องดูเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน และดูความคาดหวัง ความสำเร็จมีมากน้อยเพียงใด
หากทิศทางเป็นไปได้ยากในการจะผ่านแนวโน้ม MOA มันไม่สำเร็จก็เป็นไปได้ อาจจะมีกระบวนการมาพูดคุยกัน เรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งพวกตนยืนยันว่า เราคำนึงถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มันไม่สามารถหยุดการทำงานของพวกเราในการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศจากการทุจริต คอรัปชั่น และการปัดเป่าคดีต่างๆ
เมื่อถามว่า หากเปิดสมัยประชุมหน้าวันที่ 12 ธ.ค. จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่มี ไม่ได้พูดคำนั้น และยังไม่มีข้อสรุป ทางพรรคต้องมีการประชุมหารือกันกับผู้ใหญ่หลายคน เพื่อจะมาดูว่าความเหมาะสม และจังหวะเวลาคืออะไร จะดำเนินการหรือไม่อย่างไรต้องมาดูกันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า ที่บอกว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้าเกิดจากปัจจัยอะไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนพูดแต่แรกว่ากรอบเวลา 4 เดือนกระชั้น กฎหมายประชามติกำหนดว่า การทำประชามติ เมื่อรัฐสภาส่งเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 60 วันไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างน้อยต้องมีระยะเวลาที่ถอยร่นมา กระบวนการลงมติวาระ 2 และวาระ 3 รัฐธรรมนูญกำหนดต้องห่างกัน 15 วัน เพราะฉะนั้นพวกตนคำนวณมาตั้งแต่ต้น และพูดในวันอภิปรายวาระ 1 ควรจะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 18-19 พ.ย.เพื่อลงมติวาระ 2 ช่วงวันที่ 20 พ.ย. และวันที่ 8 ธ.ค. ลงมติวาระ 3 เพื่อที่การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทันกรอบเวลา
แต่ดูการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการบางฝ่ายยังไม่เร่งรัด อย่างที่เราต้องการ พวกตนพยายามเร่งรัด ก็ดูจะเชื่องช้านิดหนึ่ง รวมถึงข้อคิดเห็นในลักษณะที่เป็นอุปสรรค เช่น มีบางฝ่ายเสนอว่ากรณีร่างรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการ ครบถ้วนแล้วก่อนไปลงประชามติ ต้องให้ความเห็นชอบในรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อยากให้คงสัดส่วนสมาชิกวุฒิสภาในการเห็นชอบ 1 ใน 3 ไว้ เมื่อฟังแบบนี้ก็รู้แล้วว่าโอกาสยาก เพราะเราเห็นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เสียง 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา เป็นปัญหามาตลอดเป็นจำนวนที่เราหาลำบาก
เมื่อถามว่า ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายรัฐบาลและ สว.ด้วยหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในที่ประชุมความคิดเห็นอาจล้อกันไปในหลายประเด็น ทั้ง สว. และ สส.ฝั่งรัฐบาล
เมื่อถามถึงกรณีที่เรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอาจจะถูกกังวลที่อาจจะถูกโจมตีเรื่องสแกมเมอร์ ขณะที่ นายรังสิมันต์โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ก็ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกจากตำแหน่ง ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ดำเนินการเรื่องปราบสแกมเมอร์อย่างเข้มข้น ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ที่สามารถลดปริมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของสแกมเมอร์ในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล ในช่วงแรกพรรคเพื่อไทยก็จับตาดู เพราะตัวเลขความเสียหายของประชาชนเริ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อมีรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมก็ปรากฏว่ากระบวนการที่จะเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจังกลับไม่เห็น ซึ่งเราจะติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและจะเร่งรัดให้รัฐบาลไปดำเนินการในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์
“พวกเราไม่ได้พุ่งเป้าไปพรรคใด ไม่ได้บอกว่าเป็นพรรคของ ร.อ.ธรรมนัส หรือพรรคของนายอนุทิน ซึ่งผมเข้าใจว่าข้อเรียกร้องของคุณโรม คือให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรี แต่ผมมองว่าต้องเปลี่ยนตัวที่ตัวนายกฯนั่นแหละ เพราะว่ากระบวนการในการทำงานของท่านนายกฯ ที่ผ่านมาไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้”
เมื่อถามถึงการเปิดตัวผู้สมัครวันนี้ ว่าจากหน้าตาของผู้สมัคร และศักยภาพ ยังตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 200 เขต หรือ มองมากกว่านั้นหรือไม่อย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แน่นอน ตอนนี้ยืนอยู่ข้างในสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ก็มีความมั่นใจ พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคขนาดเล็ก มีเกียรติประวัติยาวนาน มีผลงานให้กับประชาชน นโยบายหลายอย่างยังติดตราตรึงใจ ซึ่งคิดว่า 90% มาจากไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทยทั้งนั้น ดังนั้น สิ่งที่ได้ทำมายังอยู่ในหัวใจประชาชน และยังยึดมั่นในสิ่งที่จะทำให้ประชาชน นั่นคือ นโยบายที่ดี เชื่อว่าตัวเลขที่มองไว้ โดยเฉพาะการชนะการเลือกตั้งที่จะมาถึง เป็นสิ่งที่สามารถบรรลุ และทำได้
ขณะที่กระแสภาพรวมของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มองได้หลายมุม บางคนบอกว่าช่วงนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในภาวะที่เพลี่ยงพล้ำ ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธ เรามีความเพลี่ยงพล้ำจริง เพราะเปลี่ยนจากสถานะจากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้าน และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วม MOA ตั้งรัฐบาล
หากถามว่าเพลี่ยงพล้ำมากหรือไม่ ก็ยอมรับได้ ไม่ได้แปลกอะไร แต่แม้จะเป็นวันที่หลายคนปรามาส ว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะเพลี่ยงพล้ำ กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยในแต่ละภูมิภาคก็ไม่ได้ตกลงอย่างมีนัยยะ ยังอยู่ในระดับ 20%
นี่ขนาดบอกว่าเรากำลังเพลี่ยงพล้ำ ส่วนคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคใด ก็มีอีก 30-35% นั่นหมายความว่า โอกาสสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะทำงาน และชนะใจประชาชน ด้วยนโยบาย บุคลากร และด้วยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะมาถึง เชื่อว่ายังมีอยู่ โดยจะทำให้ดีที่สุด เรามองโพล เรามองสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา เป็นเพียงเครื่องเตือนใจ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การทำให้พรรค การคัดสรรบุคลากรให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด ประชาชนจะได้ตัดสินใจในการเลือกตั้ง และเลือกพรรคเพื่อไทย
แท็กที่เกี่ยวข้อง