เลือกตั้งและการเมือง
รมช.กลาโหม ขอ “วีระ” อย่ากดดันทหาร ทำห่วงหน้าพะวงหลัง ชี้มีกลไกแก้ปัญหาอยู่แล้ว
31 ต.ค. 2568
39 views
รมช.กลาโหม ขอ “วีระ” อย่ากดดันทหาร บุกบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ทำห่วงหน้าพะวงหลัง ชี้มีกลไกแก้ปัญหาอยู่แล้ว เชื่อมือกองกำลังบูรพาเคลียร์ได้
วันที่ 31 ต.ค.2568 ที่ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศรีสมาน พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ นายวีระ สมความคิด นำมวลชนพร้อมกับรถแบ็กโฮ เข้าพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว เพื่อขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทยพื้นที่ วันนี้ว่า ในช่วงที่ยังคงรับราชการในปี พ.ศ.2554 ก็เคยเจอปัญหาในลักษณะ เป็นเหตุการณ์เดียวกัน เกิดขึ้นจากคนคนเดียวกัน อยากขอความกรุณาให้เจ้าหน้าที่มีอิสระในการปฏิบัติงาน เนื่องจากด้านหน้าเป็นชาวกัมพูชาซึ่งเป็นภัยคุกคามของเรา และให้ทหารที่อยู่ในแนวหน้า มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า
เชื่อว่าความรักชาติทุกคนมีเหมือนกันหมด แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ขอให้ทหารมีสมาธิในการแก้ไขปัญหา เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงปัญหาอื่น ๆ จึงขอวิงวอนประชาชนที่จะเข้าไปในพื้นที่ ว่าเข้าไปในลักษณะของการให้กำลังใจกันจะดีกว่า จะให้ทหารต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ซึ่งในอดีตตนก็เคยพบกับนายวีระ และเคยขอร้อง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้เชื่อว่ากองกำลังบูรพาจะมีวิธีการในการจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า สิ่งที่นายวีระดำเนินการอยู่จะสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ขอให้กองกำลังบูรพาซึ่งเป็นกองกำลังทหาร ได้ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ และควรใช้กลไกที่มีอยู่ แก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามในข้อตกลงกับกัมพูชาไปแล้ว ว่าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง อยากให้กลไกเหล่านี้ได้เดินหน้าต่อไป หากไม่มีอะไรคืบหน้าค่อยมาเคลื่อนไหว
เมื่อถามว่า นายวีระ ได้ขีดเส้นว่าให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ในวันนี้เป็นวันสุดท้าย ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการขับไล่ พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าขีดเส้นหรือไม่ แต่ยืนยันว่าได้มีการพูดคุยกันในระดับรัฐบาลแล้ว ว่าให้ดำเนินการในเงื่อนไข 4 ข้อ ซึ่งมีเรื่องบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่ด้วย ก็ให้เขาดำเนินการไป หากไม่ทำค่อยมากดดันกัน ซึ่งปัจจุบันเราโชคดีที่กองทัพ รัฐบาล ประชาชนมีความรักชาติ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คนทำงานคือทหาร ซึ่งมีความเสี่ยง ใต้ดินก็เจอกับระเบิด ข้างหน้าก็เจอปืนเล็ก รวมถึงไม่รู้ว่าจะมีลูกปืนใหญ่มาจากข้างบนด้วยหรือไม่
พลโท อดุลย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหารือระหว่างกองทัพบกไทยและกัมพูชา ว่า วันนี้กองทัพภาคที่ 2 ของไทย ได้เดินทางไปพูดคุยกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติ ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ ในกรอบของรัฐบาล
ขณะที่กองทัพบกก็มอบให้กองทัพภาคที่ 2 หารือ 4 ประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการขนย้ายอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งจะดำเนินการเป็น 3 เฟส เริ่มจากการถอนอาวุธประเภทจรวดและปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรขึ้นไป ภายในระยะเวลา 21 วัน โดยจะมีคณะผู้แทนจากทั้งสองฝ่าย หรือ คณะผู้แทนอาเซียน (AOT) ไปตรวจสอบว่าทําตามข้อตกลงหรือไม่ และหากดําเนินการแล้ว จะมีรายละเอียดออกมาทั้งหมดว่าได้ถอนอะไรไปแล้วบ้าง และอยากให้เชื่อมั่นว่าทหารก็ทําตามนี้ หากไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทําอย่างไร
เมื่อถามว่า ประชาชนไม่ได้ไม่เชื่อมั่นทหารไทยแต่ไม่เชื่อมั่นฝ่ายกัมพูชา พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ต้องเชื่อ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะคุยกัน ตนยืนยันได้เลยว่า ถ้าคุยกันในระดับนี้แล้ว หากไม่ทําก็ไม่มีทางอื่น
เมื่อถามว่าหากฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามจะดําเนินการอย่างไร พลโท อดุลย์ กล่าวว่า ให้คอยดู ตนก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อคุยกันในระดับรัฐบาล ลงไปถึงระดับแม่ทัพภาค ในการกําหนดขั้นตอนการถอนอาวุธ ที่มีอานุภาพร้ายแรงสูง
สำหรับเฟสที่ 2 จะเป็นการถอนอาวุธที่มีอานุภาพลดหลั่นลงมา และเฟสที่ 3 จะครอบคลุมถึงการถอนรถถัง ซึ่งจำนวนและขั้นตอนกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับแม่ทัพภาคที่ 2
ทั้งนี้ รมช.กลาโหม ยืนยันชัดเจนว่า ไม่มีการเปิดด่านแน่นอน ไม่ต้องกลัว หลังจากการถอนอาวุธแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะต้องประเมินร่วมกันอีกครั้งว่า ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันได้สิ้นสุดลงจริงหรือไม่ เพื่อก้าวสู่ความร่วมมือและสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน
เมื่อถามว่าในส่วนของกําลังทหาร จะปรับลดลงไปด้วยหรือไม่ พลโท อดุลย์ กล่าวว่า อาวุธจะมีพลประจําปืน หากถอนอาวุธก็ต้องปรับลดคนไปด้วย ก็ไปพร้อมกัน แต่ไม่เกี่ยวกับกําลังรบหลักทหารม้าหรือทหารราบ พร้อมทั้งย้ําว่า การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ มีขั้นตอนการจัดเก็บ ซึ่งการขนย้ายก็ต้องอิงกับระเบียบราชการ ไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าไปแอบ ต้องมีการจ้างเหมา ถ้ามีรถอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกินไปจากนี้ก็ต้องจ้างของเอกชนเข้ามา
เมื่อถามว่ากองทัพรับศึกหลายด้านนอกจากต่างประเทศแล้ว ยังมีภายในประเทศด้วย พลโท อดุลย์ กล่าวว่า อาชีพทหารมีกรรม
แท็กที่เกี่ยวข้อง