เลือกตั้งและการเมือง

เปิดมติเอกฉันท์ 5-0 บังคับโทษ “ทักษิณ” กลับไปจำคุก 1 ปี

9 ก.ย. 2568

157 views

เปิดมติเอกฉันท์ 5-0 บังคับโทษ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไปจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ผู้สื่อได้รับรายงานจากแหล่งข่าวจากศาลยุติธรรม คำสั่งศาลฎีกาในวันนี้ไม่ได้ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้ มติจึงเป็นเอกฉันท์

เมื่อวันที่ 9 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำสั่งศาลฎีกาฯนักการเมืองในคดีบังคับโทษชั้น 14 ไม่ได้มีการเขียนมติขององค์คณะไว้ในคำสั่ง แหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมระบุว่า กรณีถ้ามติเป็นเอกฉันท์จะไม่มีการระบุมติไว้ในคำสั่ง ยกเว้นแต่กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันจึงจะเขียนมติเอาไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเท่ากับคำสั่งศาลฎีกาในวันนี้ที่ไม่ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้มติจึงเป็นเอกฉันท์

สำหรับรายชื่อ องค์คณะศาลฎีกาทั้ง 5 คนประกอบด้วย

1. นายฉัตรชัย ไทรโชต

2. นายอดุลย์ อุดมผล

3. นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล

4. นางสุพิชญ์ กรอบคำ

5. นายพัฒนไชย ยอดพยุง

โดยในวันนี้ศาลมีคำสั่งเรียกตัวนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบันและตัวนายทักษิณเข้ามาฟังคำสั่งและในเวลา 09.30 น. นายทักษิณ เดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดี เพื่อฟังคำสั่งศาลสวมสูทสีดำ และผูกไทด์สีเหลือง พร้อมกับยีนส์ทักทายผู้สื่อข่าว นอกจากนี้ยังมีลูกสาว 2 คน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และยังมีนายสมชาย วงส์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. เข้ามาให้กำลังใจ

โดยก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาจะขึ้นนั่งบัลลังก์นายทักษิณเดินออกไปห้องน้ำ และได้จับมือกับผู้สื่อข่าวก่อนบอกว่า "สบายมาก" แต่เมื่อกลับมานั่งภายในห้องพิจารณาคดี ก่อน 5 นาทีที่จะมีการอ่านคำสั่ง นายทักษิณท้าวแขนกับเก้าอี้แล้วนำมือมาจับที่คางและขมับ

ขณะเดียวกันนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เดินไปสวัสดีฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นตัวแทนของอัยการสูงสุดและป.ป.ช. และได้ยกมือไหว้นายทักษิณ ซึ่งนายทักษิณได้ส่งยิ้ม

กระทั่งเวลา 10.00 น. องค์คณะผู้พิพากษา ใช้เวลาอ่านคำสั่ง 1 ชั่วชั่วโมง โดยสั่งให้นายทักษิณ กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี ตามที่ได้รับการอภัยลดโทษเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากการบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย

รายละเอียดดังนี้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตาม พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล

ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตาม พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมือคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 89 หรือไม่

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่ง ของศาลที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 และวันที่ 15ก.พ. 2567 หรือไม่

เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัยยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรก ที่ยื่นเมื่อวันที่ 19ธ.ค. 2566 ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้อง / ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามป.วิอาญา มาตรา 24 หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล

ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้อง ทั้งสองฉบับ

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ในวันที่ 22 ส.ค. 2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22ส.ค. 2566 เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส

พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร

ตาม พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน คือเมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็ว และหากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลา สามารถพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ จึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้

นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉินเนื่องจากจำเลยแจ้งว่ามีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริง คือ ได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษาไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ

และเมื่อตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของอาการจากโรคหัวใจ แต่กลับไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 ส.ค. 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ

และเชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

ซึ่งอาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24ส.ค. 2566 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น ทาง ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพในขณะนั้น ได้ไปขอให้แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15ก.ย. 2566 วันที่ 18 ต.ค. 2566 และวันที่ 21 ธ.ค. 2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ

ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

สำหรับข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง

นอกจากนี้จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค. 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ

โดยหลังจากศาลอ่านคำสั่งเสร็จสิ้นแล้ว นางสาวแพทองธารได้เดินเข้าไปกอดนายทักษิณ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่นายทักษิณจะหันมาพูดคุนกับทนายความ จากนั้นเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา จะเชิญผู้สื่อข่าวออกจากห้องพิจารณาคดี เพื่อดำเนินการส่งตัวนายทักษิณไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อคุมขัง

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ข่าวการเมือง ,ทักษิณชินวัตร

คุณอาจสนใจ

Related News