เลือกตั้งและการเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เซ่นคลิปเสียงคุย “ฮุน เซน”
29 ส.ค. 2568
1.5K views
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัย ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงพูดคุยกับ “ฮุน เซน” ย้ำคำกล่าวอ้างไม่ใช่เทคนิคการเจรจา รัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์อย่างเคร่งครัดครบถ้วน รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ มีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.68 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(4) ประกอบมาตรา 160 (4)(5) จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา โดยศาลเห็นว่าการเจรจาของนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซ็นตามคลิปเสียงดังกล่าว มีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ เป็นการถือเอาผลประโยชน์ของสมเด็จฮุนเซนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ จึงเข้าข่ายมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยให้มีผลความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. และมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสิ้นสุดลง
โดยศาล ได้มีการพิเคราะห์กรณีคลิปเสียง ที่ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าคลิปเสียง เป็นพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการบันทึกเสียงโดยระบบคอมพิวเตอร์ ปราศจากความยินยอมของผู้ส่ง อีกทั้งยังมีภาษาต่างประเทศที่ยังไม่มีการแปล หรือรับรองความถูกต้อง การรับฟังคลิปเสียงนี้เป็นพยานหลักฐานจึงเป็นไปเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในคดีและอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย ศาลจึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องได้กล่าวคำตามที่ปรากฏคำร้องจริง นอกจากนี้ บทสนทนาที่เป็นไปตามที่ได้กล่าวอ้างที่ปรากฏเป็นภาษาไทย ศาลจึงรับฟังคลิปเสียงนี้เป็นพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ ศาลต้องวินิจฉัยว่า ความซื่อสัตย์สุจริต บทบัญญัติรัฐธรรมนูญวางหลักการไว้ชัดเจนว่าผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นประจักษ์ หลักการนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการเรียกร้อง ให้ผู้ปฏิบัติแต่ให้พูดดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีคุณธรรมตามความเห็นของตนเองเท่านั้น หากแต่ยังหมายความว่าผู้ทรงตำแหน่งต้องสามารถแสดงออกถึงความสุจริตอย่างเปิดเผยโปร่งใส และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะ โดยมีลักษณะเป็นที่ประจำ บ่งบอกว่าต้องมีมีการรับรู้และปรากฏชัดเจนในสังคม โดยใช้หลักการตีความจากพฤติกรรมว่ามีข้อเท็จจริงที่มีน้ำหนักชัดเจนเพียงพอที่จะผงชี้ถึงเจตนาไม่สุจริตหรือพฤติการณ์บิดเบือนผลประโยชน์ของชาติหรือไม่
ดังนั้น ในการพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ต้องพิจารณาในบริบทของการได้สัดส่วนและความจำเป็นในการป้องกันมิให้ผู้ที่ความประพฤติเสื่อมเสียเข้ามาใช้อำนาจในกิจการของรัฐ และพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตจะเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่บุคคลทั่วไปยึดมั่นไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในสถานะใดในสังคมระดับใดยิ่งเมื่อเป็นผู้ดำรงตำแหน่งที่ใช้อำนาจสาธารณะยิ่งเป็นคุณธรรมที่สังคมเรียกร้องให้ยึดถือแต่เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งใช้อำนาจรัฐอยู่ภายใต้ลักษณะเฉพาะของภารกิจหน้าที่ที่แตกต่างกันการตีความกฎหมายจะอาศัยอำนาจ เพียงถ้อยคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นย่อมไม่เหมาะสมจะต้องพิจารณาประกอบกับบริบทอันเป็นปกติของการปฎิบัติหน้าที่ในการปฎิบัติหน้าที่ตำแหน่งนี้อีกด้วย
ข้อเท็จจริงกล่าวได้ว่า ในขณะที่ผู้ถูกร้องเจรจากับสมเด็จฮุนเซน สถานการณ์ไทยกัมพูชามีความตึงเครียดอย่างสูง โดยแม้จะมีช่องทางพิจารณาอย่างเป็นทางการ ผ่านการประชุมเจบีซีร่วมกัน เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 แล้วก็ตาม แต่สมเด็จฮุนเซนต์กลับแถลงจุดยืนกดดันให้ประเทศไทย เปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด รวมทั้งตอบโต้ในการห้ามนำสินค้า น้ำมัน หรือและเรียกแรงงานในไทยกลับกัมพูชา ซึ่งจุดยืนดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับผลการประชุมเจบีซีซึ่งได้มีการตกลงกันไว้ เมื่อผู้ถูกฟ้องมีโอกาสใช้ช่องทางการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ผู้ถูกร้องจึงเจรจากับสมเด็จฮุนเซนต์
พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอ หรือความต้องการใดของสมเด็จฮุนเซนต์อีกทั้ง การกระทำดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคสอง รวมไม่มีผลต่อการเปิดหรือปิดด่านการเปิดปิดด่านของชายแดนไทยกัมพูชา ผู้ถูกร้องไม่ได้ยินยอมตามข้อเสนออันเป็นการรักษาดุลผลประโยชน์แห่งชาติ การบอกว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริตจึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
ส่วนการพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนจริยธรรม พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร มีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้ถูกฟ้องจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่มีสองสถานะตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
สถานะหนึ่งในฐานะประชาชนที่มีเสรีภาพในการกระทำภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ส่วนอีกสถานหนึ่งในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องถูกจำกัดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความมั่นคงของประเทศ / รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่การบริหารราชการส่วนตัว
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และตัวแทนของประเทศไทยในการติดต่อกับนานาประเทศ มีหน้าที่ และอำนาจกำหนดนโยบายการบริหารประเทศ และมีหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศอธิปไตยเหนือดินแดน รวมทั้งปกป้องศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงมีอำนาจในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ดังนั้นเรื่องข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ในเรื่องเกี่ยวกับการเปิดปิดด่านบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา อันเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุปะทะ บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
การสนทนาดังกล่าว แม้จะกระทำในช่วงส่วนตัวของผู้ถูกร้อง และผู้ถูกร้องเรียกว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวก็ตาม แต่เนื้อหาของการสนทนา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขอเปิดด่านบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา อันเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่การสนทนาในเรื่องส่วนตัวทั่วไป ระหว่างผู้ถูกร้อง กับสมเด็จฮุนเซน กรณีนี้จึงไม่ใช่การกระทำในฐานะส่วนตัวในฐานะประชาชน หากแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งผู้ถูกร้อง ต้องไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องใช้ในการสนทนาประกอบกับบริบทการสนทนาตามคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว ในส่วนที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่สอง ชี้แจงว่าเป็นเทคนิคในการเจรจา แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง โดยมุ่งหมายลดความเครียดต่อกันนั้นเห็นว่าผู้ถูกร้องกล่าวถึง ตนเองกับสมเด็จฮุนเซน รวมกันเป็นฝั่งหนึ่ง ที่เรียกว่า “เรา” และกล่าวถึงแม่ทัพภาค 2 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ร้องว่าเป็นคนของฝั่งตรงข้ามของเรา รวมทั้งตำหนิแม่ทัพภาคที่สองว่าพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
การที่ผู้ถูกร้อง ซึ่งมีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย และเป็นผู้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคสอง กล่าวถ้อยคำดังกล่าว ต่อสมเด็จฉุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งผู้ถูกฟ้องชี้แจงและเบิกความว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองที่มีอิทธิพล ขับเคลื่อนการเมืองกัมพูชา และเป็นบิดาของฮุนมาเนตร ซึ่งติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด ช่วงไทยกำลังมีปัญหาชายแดน กับกัมพูชา พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงของประเทศเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา และเกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นลักษณะการแสดงออกถึง ความอ่อนแอทางการเมืองให้ประเทศคู่ขัดแย้งทราบ ซึ่งหากถูกเผยแพร่ไปถึงกัมพูชา จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชา นำข้อมูลดังกล่าวมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้ สำหรับการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดด่านไทยกัมพูชา
ซึ่งผู้ถูกฟ้องชี้แจงว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนและวิธีการทางการพูดวิธีการที่ไม่เป็นทางการในลักษณะสายตรงของผู้นำ และผู้ถูกร้องไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณี เนื่องจากต้องนำไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อร่วมกันพิจารณา และตัดสินใจก่อน
พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องเห็นทราบดีอยู่แล้วว่าสมเด็จฮุนเซนต์ไม่ได้อยู่ในสถานะดำรงตำแหน่งผู้นำกัมพูชา ที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางสัมพันธ์ได้ ประกอบกับผู้ถูกร้อง ชี้แจงว่าหลังสนทนากับสมเด็จฮุนเซนต์ ผู้ถูกร้อง ยังได้พูดคุยผ่านข้อความกับนายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ถูกร้องประสงค์ใช้ช่องทางการเจรจาทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการควบคู่กันไป
สำหรับการเจรจายังไม่เป็นทางการนั้นเห็นว่าไม่มีกระทรวง ไม่ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนไว้หรือไม่ และไม่ว่าผู้ร้องจะใช้เทคนิคเจรจาแบบใดก็ตามแต่เมื่อถูกผู้ถูกร้องสนทนาสนทนาในฐานะคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบระมัดระวังการดำเนินกิจการต่างๆเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และส่วนรวม
หาใช่ว่าจะเจรจาได้ตามอำเภอใจ ซึ่งกรณีของผู้ร้อง เป็นการเจรจาในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งทราบดีว่าสามารถเจรจาโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ร่วมที่ข้อมูล และรักษาความปลอดภัยร่วมด้วย แต่ผู้ร้องใช้การเจรจานี้ และเลือกเจรจาปัญหาส่วนรวมกับสมเด็จฮุนเซนต์ ซึ่งผู้ถูกร้องรู้จักเป็นการส่วนตัว ผู้ร้องจึงยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และต้องใช้ความรอบคอบระมัดระวังในการเจรจา เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของชาติมากยิ่งขึ้น
การที่ผู้ถูกฟ้องใช้ถ้อยคำบทสนทนาว่าให้ท่านเห็นใจหลานหน่อย ….
เห็นว่าถ้อยคำดังกล่าว ให้ฮุนเซนเห็นใจผู้ถูกร้องในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาเนื่องจากผู้ถูกร้อง ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างหนักจากประชาชน ประเทศจนทำให้เสถียรภาพรัฐบาลของผู้ถูกร้องมีความสั่นคลอน แต่เมื่อผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์อันเป็นการส่วนตัวกับสมเด็จคุณเซนต์จึงไม่ตอบโต้ ผู้ร้องโน้มน้าว ให้มีการในลักษณะการตกลงร่วมกันไทยกัมพูชา เนื่องจากผู้ถูกร้องยินยอมตามข้อเรียกร้องของผู้ถูกร้อง จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้น
นอกจากนี้ผู้ร้องอย่างยอมจำนนล่วงหน้าให้กับสมเด็จฮุนเซร ท่านเสนอความต้องการของตนเองให้ทราบ ผู้ถูกร้องยินดีที่จะดำเนินการให้ โดยไม่มีขอบเขตเงื่อนไข เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอันนำมาซึ่งผลประโยชน์ของสองประเทศ แต่เปิดช่องให้กับหยิบยื่นใดๆ จากไทย ได้ตามความต้องการ
การเจรจาของผู้ร้องดังกล่าว มีลักษณะเป็นการเจรจายืนยันว่าฝ่ายไทย โดยผู้ถูกร้องพร้อมที่จะเปิดด่านไทยกัมพูชา ทั้งที่ผู้ร้องทราบดีว่าการเข้าร่วมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่6 ว่าที่ประชุมมีมติให้กองทัพพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จากเบาไปหาหนัก และเท่าที่จำเป็น่ซึ่งต่อมาฝ่ายกองทัพควบคุมจุดผ่านแดนไทยกัมพูชา
และในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ในวันที่มีการสนทนากับฮุนเซน ยังไม่มีท่าทีจะลดระดับความรุนแรง และวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ผู้ร้องก็ทราบผ่านการรายงานกองบัญชาการกองทัพไทย มีหนังสือด่วนที่สุดเสนอให้สำนัก สภาความมั่นคงแห่งชาติ ขอให้แก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ามนุษย์ บ่อนพนันทางกัมพูชา โดยเร่งด่วน โดยเสนอยกระดับมาตรการการตัดกระแสไฟ การระงับสัญญาณอินเตอร์เน็ต และการควบคุมสินค้าหรือยุทธโธปกรณ์
การกระทำของผู้ร้องที่เจรจาให้เปิดด่านกับกัมพูชา จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ และประสงค์ของสมเด็จฮุนเซนต์ มากกว่าประโยชน์และความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากการพยามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ถูกร้อง กับฮุนเซน เป็นไปเพื่อการลดกบรปะทะจากการจากการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ผู้ถูกร้องมุ่งหวังถึงแต่เพียงการกระทำให้คะแนนนิยมของผู้ถูกร้องดีขึ้น และนำไปสู่การมีเสถียรภาพรัฐบาล ซึ่งเป็นประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงในขณะนั้นและเป็นผลประโยชน์ของชาติ และเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด
พฤติกรรมในการกระทำดังกล่าวย่อมทำให้ว์ญญูชนสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชา โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เพราะเหตุที่ผู้ถูกร้องรู้จักกับสำเร็จฮุนเซ็นเป็นการส่วนตัว และจะมีการเอื้อประโยชน์ฝ่ายกัมพูชา แม้ข้อเท็จจริงได้ความตามไต่สวนว่า หลังจากที่ผู้ร้องสนทนาโทรศัพท์กับเสร็จแล้ว ในวันที่ 16 มิถุนายน ผู้ร้องเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็ก เรื่องหารือฮุนเซนให้ผู้ประชุมทราบ แต่ไม่ได้แจ้งบทสนทนาที่คุยกับสมเด็จฮุนเซนต์ว่าอย่างไร เป็นการปกปิดไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบเจตนาที่แท้จริง ที่จะทำให้ได้รับความเสียหาย โดยปกปิดข้อความที่จะทำให้ ผู้ถูกร้อง ได้รับความเสียหายในคดีนี้ จึงไม่มีผลลบล้างเจตนาที่แท้จริงของ ผู้ถูกร้องที่กระทำไปแล้วใน
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้อง ที่ขอความเห็นใจจากสมเด็จฮุนเซน จึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยขัดข้องรอบคอบระมัดระวัง ซึ่งตามวิสัยพฤติการณ์ของผู้ร้อง ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องมีวิจารณญาณในการทำงาน โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัว คือคะแนนนิยม และเสถียรภาพรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวเนื่องกับการปฎิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ การกระทำดังกล่าว เป็นการลดทอน หรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิ หรือเกียรติของนายกรัฐมนตรี และประเทศไทย เพราะความนิยมซึ่งหมายความว่าเกียวติที่ได้รับการยกย่องจากสังคม หรือนานาชาติ ความยกย่องนับถือของประเทศชาติ เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนภาคภูมิใจ เสียหาย ประชาชนได้รับความเสียหายที่ขาดความภูมิใจ และความไว้วางใจในนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศ อันมีลักษณะพิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม
แม้จะกล่าวอ้างชี้แจงว่าเป็นการเจรจาส่วนตัวกับผู้นำประเทศ เป็นไปเพื่อการแก้ไขเพื่อบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหาที่อาจเกิดความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สิน แต่การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้สาธารณะชนเกิดความแคลงสงสัยว่าผู้ถูกร้อง จะทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา มากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเหตุให้สาธารณะชน ความเชื่อถือศรัทธาต่อความนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง มีลักษณะเป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม และไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ กรณีไม่ต้องรอให้เกิดการปะทะไทยกัมพูชาจึงจะถือว่าได้รับความเสียหาย
ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนาความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วเห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคสองอีกด้วย ดังนั้นผู้ถูกร้องยังมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันทำให้ผู้ถูกฟ้องขาดคุณสมบัติ จึงวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องมานายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว


แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวการเมือง ,อุ๊งอิ๊งแพทองธาร ,ศาลรัฐธรรมนูญ