เลือกตั้งและการเมือง

ทบ. แถลงโต้ “มาลี” เหตุชาวกัมพูชาขัดขวางการวางลวดหนาม ยันดำเนินการอยู่ในเขตแดนไทย

26 ส.ค. 2568

100 views

จากกรณีพลโทหญิงมาลี โสเจียตา ออกมาแถลงข่าวบอกว่า ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในบ้านจกเจย ตำบลโอเบยจวน อำเภอโอ-จเริว จังหวัดบันเจียเมียนเจย สามารถต่อต้านการรุกล้ำของทหารไทยที่พยายามจะวางลวดหนามเพิ่มเติมภายในดินแดนของกัมพูชาได้สำเร็จ


โดย พลโทหญิงมาลีกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. (25 ส.ค.) ทหารของไทยพยายามรุกล้ำเข้ามาในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว อย่างไรก็ตาม การต่อต้านอย่างแข็งขันของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่กัมพูชาทำให้ทหารไทยต้องถอยกลับและรื้อลวดหนามออกไป


โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเรียกร้องขอให้ฝ่ายไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลจากการประชุมของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระหว่างกองบัญชาการทหารภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชา และกองทัพภาคที่ 1 ของไทย ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ได้เน้นย้ำให้ทั้งสองฝ่ายละเว้นจากการขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่พิพาทและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้ความตึงเครียดบานปลาย


ทางกัมพูชายังยืนยันว่าข้อพิพาทชายแดนทั้งหมดต้องแก้ไขผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) พร้อมกับบันทึกความเข้าใจ หรือ MoU ปี 2543


ต่อมา พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงตอบโต้ในหลายประเด็น ดังนี้


1.กรณีที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่า ทหารไทยพยายามลักลอบวางลวดหนามในพื้นที่หมู่บ้านโจกเจย ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย และถูกประชาชนกับเจ้าหน้าที่กัมพูชาตรวจพบและสกัดกั้นนั้น


ขอยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย แต่ถูกกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี เนื่องจากเคยถูกใช้เป็นพื้นที่รองรับผู้อพยพชาวกัมพูชาที่หนีภัยสงคราม และภายหลังสงครามสิ้นสุด ชาวกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมอพยพกลับ ส่งผลให้กลายเป็นปัญหายืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน


2.กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาเรียกร้องให้ไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิง โดยเฉพาะการประชุม RBC ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาและกองทัพภาคที่ 1 ของไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่ขยายขอบเขตข้อพิพาทด้านพื้นที่


จึงขอย้ำว่า การดำเนินการของไทยไม่ได้เป็นการขยายข้อพิพาทแต่อย่างใด แต่เป็นพื้นที่พิพาทเดิมที่ไทยได้ประท้วงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี ภายใต้กรอบ MOU 43 ซึ่งกัมพูชาเพิกเฉยไม่แก้ไข และแม้ฝ่ายไทยได้เสนอในที่ประชุม RBC ครั้งล่าสุดให้มีการจัดระเบียบพื้นที่พิพาทร่วมกัน แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ยอมตอบรับ


3.กรณีที่กัมพูชาระบุว่าปัญหาพื้นที่พิพาทควรแก้ไขผ่านกลไก JBC ตามเจตนารมณ์ MOU 2000


ไทยยืนยันมาโดยตลอดว่าพร้อมใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในการแก้ไขปัญหา แต่ในระหว่างที่รอการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ MOU 43 ซึ่งกำหนดห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับละเมิดข้อตกลง โดยสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานและสร้างบ้านเรือนในพื้นที่พิพาทอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงมาโดยตลอด อีกทั้งในบางส่วนของพื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ในเขตที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ หากแต่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน


ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบกย้ำว่า ไทยยังคงยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกัน พร้อมทั้งเคารพกลไก JBC และ RBC อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อการละเมิดที่เกิดขึ้นซ้ำซากจากฝ่ายกัมพูชา จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องสิทธิอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนอย่างจริงจัง โดยไทยพร้อมเปิดเผยข้อเท็จจริงและประสานความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และรักษาสันติภาพตามหลักสากลต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ