เลือกตั้งและการเมือง
ศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีเสื้อแดง “จตุพร” ลุยซัดตระกูนชิน “ณัฐวุฒิ” เชื่อมั่นนายกฯ อิ๊งค์ ย้ำยังเป็นมิตรแม้แยกทาง
20 ส.ค. 2568
104 views
ศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีชุมนุมเสื้อแดง 2552 เป็นวันที่ 7 ตุลาคมนี้ “จตุพร” เดินหน้าซัดตระกูลชินวัตรครองอำนาจทางการเมือง มองรัฐบาลชุดนี้หมดความชอบธรรมนานแล้ว แต่ยังมีมิตรภาพที่ดีกับอดีตแกนนำ ด้าน “ณัฐวุฒิ” ลั่น เชื่อมั่นในตัว “นายกฯ อิ๊งค์” ยึดมั่นรักษาสันติภาพ
วันนี้ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.968/2561 หรือคดี นปช. ชุมนุมก่อความไม่สงบเมื่อปี 2552 โดยพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบรรดาแกนนำกลุ่ม นปช. ในสมัยนั้น ในความผิดฐานร่วมกันกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ตาม ม.116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตาม ม.215 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน
โดยรูปคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 9 เมษายน พ.ศ.2552 เพื่อขับไล่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งปรากฏพฤติการณ์ว่า พวกจำเลยร่วมกันปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล จนขัดขวางทางปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมทั้งมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญในกรุงเทพมหานคร และยังกระทำการบุกไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้น เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม และองคมนตรีท่านอื่น ได้แก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี
อย่างไรก็ตาม เดิมจำเลยในคดีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 13 คน ซึ่งล้วนเป็นแกนนำคนสำคัญของ นปช. ประกอบไปด้วย
1.นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง
6.นายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย หรือสมชาย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกษ
12.นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล
แต่ในเวลาต่อมา นายพีระ พริ้งกลาง ได้เสียชีวิตลง ศาลจึงจำหน่ายคดีในส่วนของนายพีระ ดังนั้น คดีนี้จึงเหลือจำเลยเพียงแค่ 12 คน
สำหรับในชั้นพิจารณาคดี จำเลยให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท ส่วนนายเมธี อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกคดีตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน จึงได้เบิกตัวจากเรือนจำกลางคลองเปรมมาฟังคำพิพากษา
ซึ่งเมื่อช่วงเวลา 9:00 ที่ผ่านมา จำเลยในคดีนี้ทยอยเดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อฟังคำพิพากษา โดยแกนนำคนสำคัญ เช่น นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ สวมเสื้อ ซาฟารีสีเทาสีหน้าเรียบเฉย มีผู้ติดตามคอยเดินประคองและมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายพายัพ ปั้นเกตุ และนายณรงศักดิ์ มณี
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ ได้เดินทางมายังศาลอาญา โดยมี นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำ นปช. และภรรยา มาให้กำลังใจ ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนก่อนขึ้นฟังคำพิพากษาว่า วันนี้ตนไม่มีความเครียดหรือกังวลอะไร ส่วนคำพิพากษาจะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับตนหรือไม่ ก็แล้วแต่พิจารณาของศาล เพราะเราเคารพศาลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนเองยังคงเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน ของตนเองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาลในวันนี้
ทั้งนี้การอ่านคำพิพากษาในวันนี้นั้น ศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งศาลอาญาจะออกใบแถลงข่าวผลคำพิพากษาในภายหลัง
ต่อมาเวลา 09:20 นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินและอดีตแกนนำกลุ่ม นปช. เดินทางไปยังศาลอาญา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในจำเลยคดีชุมนุมก่อความไม่สงบเมื่อปี 2552 เพื่อมาฟังคำพิพากษาคดี
โดยนายจตุพรเปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการพิพากษาคดีในชั้นต้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ตนต้องมาฟังคำพิพากษาในคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างไร ตนก็ยอมรับและให้เป็นไปตามนั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า การขึ้นศาลในวันนี้จะต้องเจอกับอดีตแกนนำกลุ่ม นปช. ที่ในวันนี้ถือว่าอยู่คนละขั้วทางการเมืองกับนายจตุพรแล้วนั้น นายจตุพรระบุว่า ตนคงไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างที่ผ่านมานั้นเป็นประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น โดยเวลาในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ก็มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็สามารถเจอกันได้ตามปกติและยังไงก็ต้องนั่งด้วยกันอยู่แล้วในฐานะจำเลย เช่นเดียวกับอดีตแกนนำคนอื่นที่ก็ต้องเจอเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ตนไม่เคยได้พูดคุยกับอดีตแกนนำ นปช. นับตั้งแต่ตอนที่ตนเปลี่ยนขั้วทางการเมืองและคงไม่มีเหตุอะไรที่ต้องไปทะเลาะกับบรรดาอดีตแกนนำ ตนยังยึดมั่นในตัวตนของตนเอง ซึ่งเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็กในเรื่องของการมองว่า อะไรที่ใช่ อะไรที่ไม่ใช่
ส่วนผลของคำพิพากษาในวันนี้ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวกับคณะรวมพลังแผ่นดินที่นายจตุพรเป็นหนึ่งในแนวร่วมหรือไม่นั้น นายจตุพรกล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไงตนก็ใช้สิทธิ์ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งหากมีโอกาสอยู่แล้ว เพียงแค่มีแนวคิดเดียวกัน ตนผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายโอกาสมากแล้ว เหลือแต่ความตายอย่างเดียวที่ตนยังไม่เคยเจอ ขณะเดียวกัน คณะดังกล่าวตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีแกนนำ แล้วยังมีอีกหลายคนที่เป็นแนวร่วมคณะ ทุกคนต่างมาเข้าร่วมด้วยหลักเสรีภาพทางการเมืองและความเห็นเดียวกัน
นายจตุพรยังให้ทัศนะในกรณีที่วันพรุ่งนี้ (21 สิงหาคม) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องขึ้นไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญในคดีถอดถอนออกจากตำแหน่งจากกรณีคลิปเสียงกับอดีตผู้นำกัมพูชานั้น นายจตุพรมองว่า ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นพูดว่า น.ส.แพทองธาร จะเดินทางไปขึ้นศาลด้วยตนเอง แต่ยังไม่ได้ยินจากปากของ น.ส.แพทองธาร มีเพียงแค่ว่าในวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของ น.ส.แพทองธาร ตนจึงมองว่า ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวของ น.ส.แพทองธาร ว่าจะเข้าสู่ระบบการไต่สวนที่ศาลท่านให้โอกาสหรือไม่อย่างไร
ดังนั้น หาก น.ส.แพทองธาร มั่นใจในข้อเท็จจริงของตนเองว่าเป็นอย่างไร ควรจะต้องขึ้นไปพิสูจน์ในการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ "ทองแท้ย่อมต้องไม่กลัวไฟ" ส่วน น.ส.แพทองธาร จะไปหรือไม่ไปศาลนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ส่วนผลการวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มองว่า น.ส.แพทองธาร จะรอดหรือไม่นั้น นายจตุพรให้ทัศนะว่า ตนไม่เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถตกลงหรือดีลกันได้ ตามที่มีกระแสข่าวลือว่า จะต่อรองผลการลงมติ 5 ต่อ 4 เสียง แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ออกมาจะเป็นอย่างไร ก็มีผลทางการเมืองอยู่แล้ว ฉะนั้น ขอให้รอผลจะดีกว่า ให้เป็นอำนาจดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใดก็ตาม จากกรณีคลิปเสียงนั้น ประชาชนได้ตัดสินไปแล้วและมีคำตอบอยู่แล้วว่า ปลายทางควรเป็นอย่างไร
สำหรับกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้นั้น ตนมองว่า ยังไงก็ตามนายทักษิณต้องขึ้นมาฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ส่วนกรณีที่มีคนรอบข้างนายทักษิณมั่นใจว่า จะรอดในคดีมาตรา 112 นั้น นายจตุพรมีทัศนะว่า ความมั่นใจกับข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน ตนในฐานะที่ผ่านคดีความหลายครั้งมองว่า แม้จะมีความมั่นใจเพียงใด แต่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความจริงและขึ้นดุลพินิจของศาล จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่บุคคลที่เป็นจำเลยย่อมเชื่อมั่นในตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า นายทักษิณควรเข้าสู่กระบวนการทางยุติธรรม เพราะนายทักษิณก็หนีคดีไปมากกว่า 17 ปี การพิพากษาในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ นายทักษิณก็ไม่ควรที่ต้องหลบหนีอีก ถึงเชื่อว่าในวันนั้นนายทักษิณต้องขึ้นฟังด้วยตนเองแน่นอน
ขณะที่คดีบังคับโทษนายทักษิณหรือคดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำสั่งในวันที่ 9 กันยายนนี้ นายทักษิณจะขึ้นฟังคำสั่งของศาลฎีกาด้วยตนเองหรือไม่นั้น นายจตุพรบอกว่าไม่ทราบ แต่ตนมองว่า ในระหว่างเวลาก่อนถึงวันดังกล่าวนั้น บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่ผันแปรไปทุกวัน
นายจตุพรกล่าวทิ้งท้ายว่า การตัดสินคดีที่จะเกิดขึ้นกับตระกูลชินวัตรนั้น จะส่งผลต่อการเมืองทั้งสิ้น เพราะตระกูลชินวัตรมีอำนาจทางการเมืองอยู่ รวมทั้งจะส่งผลต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังเปราะบาง และสามารถปะทะกันได้อีกทุกเมื่อ
ส่วนหลังวันที่ 29 สิงหาคม ได้สัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายจตุพรมองว่า รัฐบาลชุดนี้หมดความชอบธรรมนานแล้ว เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ เช่นเดียวกับความนิยมที่ตอนนี้ต่ำกว่า 5 แล้ว ยิ่งส่งผลทำให้ความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาสั่นคลอน
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ก็ควรจะต้องเสียสละเพื่อระบอบประชาธิปไตย ถ้ายิ่งยื้อดึงดันกันต่อไป ก็ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ซึ่งตนไม่อยากเห็นการจบปัญหาแบบเดิมอีก
ขณะที่เวลา 09:56 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตแกนนำ นปช. ได้เดินทางมาถึงศาลอาญาเพื่อฟังคำพิพากษา แต่ยังปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เพราะขอขึ้นไปฟังคำพิพากษาก่อน
ทั้งนี้ บรรยากาศระว่างที่สื่อมวลชนรอผลคำพิพากษา คดีการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ช่วงปี 2552 ปรากฏว่ามีรายงานข่าวว่า ศาลได้เลื่อน อ่านคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจากจำเลยเดินทางมาที่ศาลไม่ครบ
กระทั่งเวลา 10:50 นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแนวร่วมคณะรวมพลังแผ่นดินและอดีตแกนนำกลุ่ม นปช. ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยของคดีนี้ได้เดินทางกลับ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวเพียงแค่ว่า ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 9:00 เนื่องจากในวันนี้มีจำเลย 2 คนที่ไม่ได้เดินทางมาที่ศาล คือ นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ซึ่งไม่ทราบสาเหตุของการไม่มาศาล และนายอดิศร เพียงเกษ ซึ่งกำลังประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ส่วนรายละเอียดนั้นจะให้บรรดาอดีตแกนนำ นปช. ที่เหลือลงมาแถลงข่าว
ต่อมา 10:55 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตแกนนำ นปช. พร้อมด้วยจำเลยในคดีที่เหลือ ได้ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยระบุว่า ในวันนี้เป็นการฟังคำพิพากษาคดีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในช่วงต้นปี 2552 ซึ่งรวมทั้งการชุมนุมบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลและที่พัทยา
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีจำเลยเดินทางมาไม่ครบ คือ นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ซึ่งทนายความได้แถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถติดต่อได้ว่าอยู่ที่ใด อีกรายหนึ่งคือ นายอดิศร เพียงเกษ ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แต่ทนายแถลงว่าติดภารกิจประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ศาลจึงมีคำสั่งเลื่อนฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 9:00 พร้อมกับมีคำสั่งออกหมายจับนายพงศ์พิเชษฐ์ เนื่องจากหลบหนีไม่มาตามนัดฟังคำพิพากษาของศาล พร้อมกับริบเงินประกันนายพงศ์พิเชษฐ์จากนายประกันจำนวน 200,000 บาท
สำหรับคดีการชุมนุมเมื่อปี 2553 หรือคดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้ายนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า กระบวนการคดีดังกล่าวนี้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง
นายณัฐวุฒิยังระบุอีกว่า สำหรับบรรดาอดีตแกนนำทั้งหลายนั้น ทุกคนต่างร่วมเป็นร่วมตาย ต่อสู้กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่กันในอดีต ถือว่าเป็นมิตรภาพที่ยังคงผูกพันกันอยู่และไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าวันเวลาจะผันแปรเปลี่ยนไป จนทำให้แนวคิดทางการเมืองเปลี่ยนแปลง ก็ไม่สามารถทำลายมิตรภาพลงได้
สำหรับบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีนั้น นายณัฐวุฒิ ระบุว่าตนเองไม่ได้พูดคุยอะไรกับใครมากนัก เพราะเนื่องจากตนมาทีหลัง แต่หลังจากนั้นก็มีพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกับอดีตแกนนำคนอื่นบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่ต่างก็ถามไถ่กันเรื่องสุขภาพเป็นหลักด้วยความห่วงใย เพราะนายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ เพิ่งหายป่วยจากอาการโควิดเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และอดีตแกนนำบางคนก็ต้องฟอกไตทุกสัปดาห์ ไม่ได้พูดคุยหารืออะไรกันเป็นการส่วนตัว
ส่วนนายจตุพรนั้น ตนยังมีมิตรภาพและโดยส่วนตัวแล้วไม่ใช่ศัตรูแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่าในทางการเมืองนั้น ถือว่ายืนกันคนละเวทีแล้ว ตนเองก็ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายจตุพรในช่วงเวลานี้
ทั้งนี้ กลุ่ม นปช. ถือว่าไม่มีสภาพเคลื่อนไหวอะไรอีกแล้ว เพราะนับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 ที่นายจตุพรได้แยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ เช่นเดียวกับแนวร่วมบางคนที่แยกย้ายไปตามวิถีทางการเมือง กลุ่ม นปช. ก็ไม่ได้ประชุมหารืออะไรร่วมกันอีก จึงถือว่าไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามประเด็นที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องขึ้นฟังคำพิพากษาศาลอาญาในคดีมาตรา 112 ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้นั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า ส่วนตัวตนขอส่งกำลังใจให้นายทักษิณ แม้ว่าวันนั้นตนจะไม่ได้เดินทางให้กำลังใจที่ศาล เพราะติดภารกิจ
แต่นายณัฐวุฒิให้ทัศนะความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้ว่า การแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 กับนายทักษิณนั้น เมื่อพิจารณาองค์ประกอบภาพรวมในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นได้แน่ชัดว่า มูลเหตุของการนำมาสู่การแจ้งความดำเนินคดีถือว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองที่ใช้มาตรา 112 ในการเล่นงาน
ดังนั้น ตนจึงมองว่า ไม่ควรมีใครถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 เพียงเพราะเหตุผลทางการเมือง ทุกคนในระบอบประชาธิปไตยสามารถเห็นต่างทางการเมืองได้ตามปกติ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ควรใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ควรดึงสถาบันเบื้องสูงมาใช้ในเวทีความขัดแย้งทางการเมือง
สำหรับกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับการนัดหมายจากศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไต่สวนในคดีถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงพูดคุยกับอดีตผู้นำกัมพูชาในวันที่ 21 สิงหาคมนี้นั้น ตนก็ขอส่งกำลังใจให้นายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกันและเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปที่ศาลด้วยตนเอง
ส่วนตัวมีทัศนะเชื่อมั่นว่า น.ส.แพทองธาร มีเจตนาที่จริงใจจะแก้ไขปัญหาและรักษาสันติภาพ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุบานปลายจนถึงขั้นปะทะกัน อีกทั้งยังมีเจตนาดีที่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่ทุกอย่างต้องพังทลายล้มลง เพราะถูกอีกฝ่ายแอบอัดคลิปเสียงมาปล่อย ซึ่งถือว่ามีเจตนาที่ไม่ดี ตนจึงขอถามกลับไปว่า ใครกันแน่ที่ขาดจริยธรรม คนที่อัดคลิปเสียงแล้วมาเผยแพร่ใช่หรือไม่ที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายขาดจริยธรรม
นายณัฐวุฒิยังระบุอีกว่า คดีนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 ประเทศอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าผลลัพธ์ในวันที่ 29 สิงหาคม ออกมาทำให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนเชื่อว่าจะเป็นความสำเร็จของฝ่ายที่สมคบคิดปล่อยคลิปเสียง แต่ถึงวันนั้น ขอให้เป็นดุลพินิจของศาลและรอผลการวินิจฉัยของศาล ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องน้อมรับ รวมทั้งเชื่อมั่นว่า น.ส.แพทองธาร จะสามารถชี้แจงเจตนาของตนเองต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ใครก็ตามที่ออกมาปล่อยข่าวลือว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลการพิจารณาอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นบุคคลที่มีเจตนาที่ไม่ดี ใครเขาทำกัน ส่วนความเห็นของนายจตุพรที่มองว่า หากคดีของคนตระกูลชินวัตรถูกตัดสินลง ความขัดแย้งภายในและนอกประเทศก็จะจบลงด้วยนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า ก็เป็นความเห็นของนายจตุพร ซึ่งเขาอาจจะเชื่ออีกแบบหนึ่ง แต่ตนก็เชื่อในแบบของตนที่พูดไปแล้ว
แท็กที่เกี่ยวข้อง คดีเสื้อแดง ,จตุพรณัฐวุฒิ