เลือกตั้งและการเมือง

"มาริษ" เชิญรัฐภาคี "ออตตาวา" ประชุมร่วมหน่วยงานไทย-กองทัพ ศุกร์นี้ จี้ "กัมพูชา" เก็บทุ่นระเบิด

13 ส.ค. 2568

151 views

13 ส.ค. 2568 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการตอบโต้กัมพูชา หลังทหารเหยียบกับระเบิด เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่า ทหารไทยได้สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บ กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบกับทางกองทัพ และยื่นประท้วงกับทางกัมพูชาไปแล้ว เราไม่พอใจอย่างรุนแรงที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงที่คุยกันไว้ในการประชุม GBC และอนุสัญญาออตตาวา รวมถึง เราได้ส่งหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ชี้แจงรายละเอียด การกระทำที่ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ โดยการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นอกจากนี้ยังมีหนังสือไปถึง ทูตญี่ปุ่นประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ในฐานะที่เป็นประธานรัฐภาคีสัญญาออตตาวา เพื่อให้เร่งดำเนินการในสิ่งที่เราได้ขอรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวาไปแล้ว


“ผมได้พูดโดยตรงกับเลขาธิการสหประชาชาติ ตอนอยู่ที่นิวยอร์ก ก่อนที่จะมีการปะทะ ได้พูดกับเลขาธิการสหประชาชาติโดยตรง เพื่อยืนยันและชี้แจงให้เลขาธิการสหประชาชาติได้เข้าใจถึงการกระทำที่ละเมิดของกัมพูชา ตอนนั้นทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดไปแล้วสองครั้ง ซึ่งผมเรียนท่านว่า ในอนาคต หากกัมพูชายังไม่หยุดการกระทำเช่นนี้ ผมจะขอให้ใช้กลไกของอนุสัญญาออตตาวาผ่านเลขาธิการสหประชาขาติ เพื่อที่จะไต่สวนความผิด รวมถึงการกระทำของกัมพูชาในเรื่องของการใช้ระเบิดสังหารบุคคล” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ กล่าวต่อว่า เราพยายามผลักดันในเรื่องนี้ ได้ใช้กลไกทุกอย่างของอนุสัญญาออตตาวา ได้มีหนังสือกลับมาขอเอกสารเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ทั้งวัน ตนได้มีการพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ได้เรียนให้ทราบว่า ตนมีความเป็นห่วงและไม่สามารถรับได้กับการกระทำที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในการใช้ระเบิดสังหารบุคคลและทหารไทยต้องประสบกับความเสียหายในตรงนี้ และขอให้ช่วยผลักดันให้ใช้กลไกของอนุสัญญาออตตาวาโดยเร็ว ซึ่งตนขอยืนยันว่า จะผลักดันในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ กระทรวงการต่างประเทศก็ดำเนินการทุกอย่างอย่างเต็มที่ ผ่านกระบวนการทั้งที่นิวยอร์กและ นครเจนีวา เพื่อให้ได้ผลโดยเร็ว เพื่อให้มีการไต่สวนและพิจารณาการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา

ส่วนของความร่วมมือในภูมิภาค ตนได้ใช้เวลาทั้งวันคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย และได้คุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ สิ่งสำคัญที่เราต้องพยายามผลักดันต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ คือขอให้อาเซียน หรือกรอบความร่วมมือของภูมิภาคกดดันให้กัมพูชามาร่วมมือกับประเทศไทย ในการที่จะแก้ไขปัญหาการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนของประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่กระทรวงต่างประเทศยึดถือมาโดยตลอด และชี้แจงให้ทั่วโลกตระหนักว่า กัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย โดยการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และเกิดความเสียหาย

“เราไม่ได้ต้องการเพียงแค่ประณาม อย่างที่เราดำเนินการมาโดยตลอด แต่เราต้องการเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ร่วมกับเราโดยการมีการร่วมมือ ทั้งในกรอบภูมิภาค กรอบของโลก ในกรอบของภูมิภาค เรามีความร่วมมือของศูนย์ปฏิบัติการจัดการทุ่นระเบิด ซึ่งในกัมพูชาก็มีศูนย์นี้เช่นกัน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศให้เก็บกู้ทุ่นระเบิด” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ ย้ำว่า ต้องใช้กรอบของอาเซียนกดดันให้กัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อแสดงถึงความจริงใจให้เห็นว่า พร้อมที่จะมามีความร่วมมือกับเรา

“เมื่อเราประท้วง กัมพูชาจะใช้ว่าเป็นระเบิดเก่า และฝังอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงฝังระเบิดในดินแดนของเขา” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ ระบุว่า ความพยายามในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด มีมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึงสมัย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกเรื่องนี้หารือกับทางกัมพูชา ในระดับนโยบายได้พูดคุยมาโดยตลอด แต่กัมพูชาบ่ายเบี่ยง จึงขอเรียกร้องอีกครั้งว่า ขอให้กัมพูชาแสดงความจริงใจที่จะแก้ปัญหานี้ร่วมกันกับประเทศไทย

หลายทุกคนคงจำได้ว่าในการประชุม GBC หนึ่งในคณะของฝ่ายไทย ได้หยิบยกขึ้นมาคือเก็บกู้ระเบิด ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิเสธ เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ว่าตนได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ไปแล้ว ขอให้ประเทศทั้งหลายที่เป็นมิตรประเทศอาเซียนร่วมกันกดดัน เรามีความจริงใจและพร้อม เพราะเรามีทั้งเทคโนโลยี และองค์ความรู้เรื่องในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ถึงแม้ว่าตนจะอยู่ที่ต่างประเทศ แต่จะมีสรุปเข้ามาจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย กับทหาร กองทัพ และประเทศสมาชิก ที่ให้ความสำคัญกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ต้องขอบคุณประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความช่วยเหลือทั้งกัมพูชาและไทย ในเรื่องเทคโนโลยีองค์ความรู้ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพราะฉะนั้นเราจะเชิญประเทศที่ช่วยเหลือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ประเทศอาเซียน รวมทั้งรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา มาร่วมประชุมด้วย ว่าไทยจะมีขั้นตอนต่อไปอย่างไร ตนได้มอบนโยบายไปแล้วว่า ให้ร่วมกันพูดคุย เพื่อผลักดันให้กัมพูชาแสดงความจริงใจ ในการแก้ไขปัญหากับไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีการลงไปในพื้นที่เพื่อเก็บหลักฐานทั้งหมด รวมทั้งให้คณะทำงานทั้งหมดได้รับทราบข้อมูล จากผู้ปฏิบัติในสนามอย่างแท้จริง

นายมาริษ กล่าวถึงกรณีที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ส่งจดหมายร้องเลขาฯ UN และ UNSC อ้างไทยละเมิดอธิปไตยและข้อตกลงหยุดยิงว่า เป็นการกล่าวอ้าง ซึ่งตนยังไม่เห็นหลักฐานที่ชัดเจน ของกัมพูชาว่าเราละเมิดตรงไหน ในขณะที่ทางกัมพูชาเองใช้วิธีที่ไม่จริงใจต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหา ตามกรอบข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ทำร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยั่วยุด้วยสงครามข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้โอกาสในการมาฝังลูกระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยมีหลักฐานที่ชัดเจน ที่ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามความตกลงหยุดยิงระหว่างกัน

อย่างไรก็ตาม การที่กัมพูชาส่งหนังสือไปถึง ยูเอ็น ทางฝ่ายยูเอ็นก็ไม่ได้มีการเปิดประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน ไทยก็ได้มีหนังสือชี้แจง เลขาธิการสหประชาชาติ ไปในทุกโอกาส และทุกกรณีที่มีการขัดแย้งเกิดขึ้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของอนุสัญญาออตตาวา ทางกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือผลักดันในเรื่องนี้ไปถึง ทูต ญี่ปุ่น ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และเจนีวา ในฐานะที่เป็นประธานของรัฐภาคีอนุสัญญาออตาวา 3 ฉบับ และอีกหนึ่งฉบับก็กำลังจะส่งตามไป เพื่อกดดันหรือผลักดันให้รัฐภาคี ดำเนินตามมาตรการ อนุสัญญาออตตาวาโดยเร็ว ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบขอข้อมูลหลักฐาน ที่ชัดเจนซึ่งตรงนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพได้ร่วมมือกันอย่างดี และสนับสนุน ข้อมูลทั้งหลายเพื่อให้เราสามารถใช้ในกรอบของการขับเคลื่อนผลักดันกัมพูชาให้มากยิ่งขึ้นในการเก็บกู้วัตถุระเบิดต่อไป

สำหรับการประชุมในวันศุกร์นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กัมพูชายังไม่เข้าร่วม โดยยังคงปฏิเสธ ซึ่งตรงนี้จะเป็นเรื่องที่เราประชุมร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเชิญรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ทีแมค และเชิญผู้แทนจากกองทัพมาร่วมประชุม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความพยายามที่เราจะกดดันให้กัมพูชาเข้ามาร่วมมือ ตรงนี้ท่าทีของเราชัดเจน และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าการทำงานของเรามีความโปร่งใส เป็นไปตามกรอบความตกลงของยูเอ็น ในเรื่องของกฎหมาย ระหว่างประเทศ ดังนั้นทางกัมพูชาก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องแสดงท่าทีแสดงความจริงใจที่จะเข้ามาร่วมมือกับประเทศไทย โดยเรากดดันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุม แม่โขง-ล้านช้าง ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันนี้ด้วยว่า จะใช้โอกาสที่ได้พบปะหารือทวิภาคี กับประเทศสมาชิกที่ไปร่วมประชุม ชี้แจงให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และ ตลอดระยะเวลาในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ชี้แจงตลอด ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่มีเหตุทหารเหยียบกับระเบิด ซึ่งที่ผ่านมาได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรกับไทยหลายคน ตนได้มีข้อความติดต่อกับรัฐมนตรีต่างประเทศของทุกประเทศเหล่านี้ อธิบายและอัปเดตความคืบหน้าต่างๆ ถึงสถานการณ์ ว่ากัมพูชาไม่ได้แสดงความจริงใจ โดยทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้เป็นเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนและทำให้มิตรประเทศของไทยทั้งหลายในโลกได้เข้าใจประเทศไทย

ซึ่งขอย้ำว่า การทำงานของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ เป็นเนื้อหนึ่งเดียวกัน โดยจะเห็นว่าในช่วงที่ตนเดินทางร่วมประชุมสหประชาชาติ ก็ได้มีการรณรงค์ ในเรื่องของการแสดงความชอบธรรมของเราที่จะใช้การป้องกันตนเอง ซึ่งตรงนี้ทำให้ทหารและกองทัพ ปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ของทหาร ได้อย่างสะดวกใจโดยไม่มีประเทศไหนประณาม หรือมีประเทศอื่นใดตำหนิการใช้อาวุธของประเทศ และหลายคนก็ไม่เห็นด้วยที่กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการโจมตีเป้าหมาย พลเรือน

ดังนั้นขอเรียนว่า นโยบายด้านการต่างประเทศและการทหาร สอดรับประสานกันมาโดยตลอด ทำให้การดำเนินนโยบายต่างประเทศหรือการทูต ประสบความสำเร็จด้วยการกดดันของฝ่ายทหาร ขณะเดียวกัน ทหารก็มีความสบายใจในการปฏิบัติการทางทหาร บนพื้นฐานว่าเราทำทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การตอบโต้ ที่เป็นไปตามบทบาทสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นขอเรียนว่า ประชาคมโลกเข้าใจประเทศไทย และทำให้เราไม่ถูกตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น และต้องขอขอบคุณปฏิบัติการทางทหาร ที่ทำให้การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทูตระหว่างประเทศประสบผลสำเร็จด้วยดี

คุณอาจสนใจ

Related News