“พิชัย” แจกการบ้านภาคธุรกิจประเมินผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ด้านเอกชนใจชื้นหลังเห็นสัญญาณดี

“พิชัย” แจกการบ้านภาคธุรกิจประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ร่วมปั้นมาตรการรับมือ เดตไลน์ส่งกลับภายใน 11 ก.ค. 68 ด้านเอกชนบอกไม่ได้ข้อสรุปแต่สบายใจขึ้น หลังเห็นสัญญาณดี

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมหารือคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.และภาคธุรกิจที่ทำธุรกิจและส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยได้มอบการบ้านให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไปประเมิน เพราะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากลักษณะธุรกิจมีความแตกต่างกัน หลังจากนั้นให้ส่งกลับมา ภายในวันศุกร์ที่ 11 ก.ค. นี้ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้รู้แนวทางกำหนดมาตรการในการให้ความช่วยเหลือต่อไป ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังก็ได้คิดไว้แล้วว่าจะมีมาตรการไหน และเครื่องมืออะไรที่จะเหมาะกับใครบ้าง และถ้าข้อมูลยังไม่เพียงพอก็สามารถเรียกมาคุยกันใหม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับการนัดหารือของรัฐบาลที่บ้านพิษณุโลก แต่ยืนยันว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดก่อนวันที่ 31 ก.ค. 2568 อย่างแน่นอน

สำหรับการประชุมครั้งนี้ได้ลงในรายละเอียดมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่ประเมินกันว่าเรื่องภาษีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบแค่กับภาคส่งออก แต่เมื่อมาดูข้อมูลแล้ว จะพบว่าอัตราภาษีที่จะเกิดขึ้นมีผลกระทบกับหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่เป็นสินค้าไทย กลุ่มที่มีส่วนประกอบเป็นสินค้าไทยไม่ถึงเปอร์เซ็นต์ที่สหรัฐฯ กำหนด ดังนั้นเมื่ออัตราภาษีแตกต่างกัน ทำให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากหารือเบื้องต้นแล้วแม้จะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่รู้สึกสบายใจมากขึ้น และมองเห็นแนวโน้มหรือสัญญาณที่ดี พร้อมทั้งให้กำลังใจทีมไทยแลนด์ในการทำงานครั้งนี้ว่า “สู้ๆ”

หากถามว่าไทยควรจะได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เท่าไหร่ ก็ต้องมาคิดว่าอัตรา 10% เป็นฐานต่ำที่สุด ถ้าเราทำได้ดีที่สุดที่ 10% ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องมาดูว่าจะได้ขนาดไหน ขอแค่อย่าเสียเปรียบคู่แข่งของเรามากเกินไป ส่วนข้อเสนอที่ไทยจะลดอัตราภาษีนำเข้าบางรายการให้สหรัฐฯ ที่ 0% นั้น มองว่า พิกัดภาษีบางสินค้ามีการกำหนดมานาน และกำหนดสูงมาก อัตรา 30-60% แต่ไม่ได้มีการนำเข้าเลย ตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสล้างบาง เช่น ผลไม้ ทุกวันนี้ไทยนำเข้าผลไม้จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีน โดยใช้ FTA ซึ่งภาษี 0% อยู่แล้ว ดังนั้นบางเรื่องการลดภาษีเหลือ 0% จึงไ่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะบางสินค้าเราก็ได้ภาษี 0% อยู่แล้ว