กห.กัมพูชายัน ไม่คิดรุกรานชาติใด บอกไม่มีเครื่องบินรบไปถึงกรุงเทพ แต่ก็สามารถป้องกันประเทศได้

พลเอกเตีย เซยฮา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผย ไม่คิดรุกรานชาติใด ไม่มีเครื่องบินรบที่จะบินไปถึงกรุงเทพ แต่กองทัพกัมพูชาก็มีความสามารถในการป้องกันประเทศได้


โดย เว็บไซต์ข่าวพนมเปญ โพสต์รายงานว่า เมื่อวานนี้พลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาอาจไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ แต่ก็มีความสามารถในการป้องกันประเทศ รวมถึงมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ปืนต่อต้านรถถัง และอาวุธป้องกันชายฝั่ง


พลเอกเตีย เซ็ยฮา กล่าวว่า “ประเทศไทยได้โพสต์ภาพขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่และเรือรบ รวมถึงอาวุธทางบก ทางทะเล และทางอากาศ และหากถามว่า กัมพูชามีอะไร ก็ขอชี้แจงว่า กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ เพราะกัมพูชามุ่งเน้นเฉพาะความสามารถในการป้องกันประเทศ เรามีปืนป้องกันภัยทางอากาศ ปืนต่อต้านรถถัง และปืนป้องกันชายฝั่ง”


นอกจากนี้ “กัมพูชายังได้ทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางทหารของเราเพื่อการป้องกันประเทศเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสร้างอาวุธเพื่อรุกรานผู้อื่น”


คำกล่าวของพลเอกเซ็ยฮา มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย และเมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชายังระบุด้วยว่า ไทยได้มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งโดรน ขุดสนามเพลาะ ระดมอาวุธ และอุปกรณ์สนับสนุน สร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มจำนวนทหารตามแนวชายแดนของจังหวัดพระวิหารและอุดรมีชัย ซึ่งกระทรวงกลาโหมกัมพูชาถือว่า การกระทำเหล่านี้ก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ


เซย์ฮาเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ต้องการทำสงครามกับประเทศใดๆ และได้ส่งข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับไทยไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอให้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างสันติ ซึ่งการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอาจไม่รับประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะได้รับดินแดนเพิ่มขึ้น เนื่องจากขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล แต่กัมพูชาเชื่อมั่นว่า การตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะทำให้เกิดสันติภาพและมีความชัดเจนในเรื่องพรมแดน


พลเอกเซย์ฮา ยังกล่าวด้วยว่า การแก้ไขปัญหาผ่านบันทึกความเข้าใจ (MoU) ปี 2543 นั้นเป็นไปไม่ได้ ไทยและกัมพูชาไม่ได้สำรวจพรมแดนร่วมกันตั้งแต่ปี 2555 หรือ 2556 เป็นเพราะใช้แผนที่ที่แตกต่างกัน


เขายังอ้างอีกว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การเจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมที่หยุดชะงัก ไทยได้ละเมิด MOU ดังกล่าว 695 ครั้งแล้ว