เลือกตั้งและการเมือง

“กัณวีร์” ย้ำไทยต้องหนักแน่นไม่หลงกลการเมืองชาตินิยม ด้าน “ฮุน เซน” เรียกร้องให้ประชาคมโลกให้กดดันไทย

โดย paranee_s

14 มิ.ย. 2568

124 views

วันที่ 14 มิ.ย.68 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนเขียนโพสต์นี้ขึ้นมาด้วยเจตจำนงที่ดีต่อประเทศไทยในการที่ต้องเตรียมความพร้อมที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำในเกมการเมืองระหว่างประเทศ อยากให้ไทยมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ในการเมืองโลก ไม่อยากให้โลกสวยเกินไปและปิดกั้นคนไทยในการมีส่วนร่วมทางการทูต เพราะการทูตศตวรรษที่ 21 นี้คือการทูตสาธารณะ หรือ Public Diplomacy


"การที่รองนายกฯ ภูมิธรรมฯ ออกมาบอกว่าขอให้ฟังข้อมูลทางการอย่างเดียว อย่าฟังข้อมูลที่บิดเบือนที่จะทำให้เกิดปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา และมองโลกสวยว่าทั้งสองประเทศกำลังหาข้อยุติได้ ผมว่ารองนายกฯ คงต้องเข้าใจงานด้านการต่างประเทศให้มากกว่านี้ กัมพูชาเค้าซัดเราตรงๆ และเต็มๆ ว่าไม่คุยใน 4 ที่ จะเอาเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC และเอ่ยชื่อกลไลสหประชาชาติด้วย มันมีนัยยะและความหมายอย่างไร ต้องอ่านให้ออกนะ"


นายกัณวีร์ กล่าวว่า อยากจะทราบว่ากัมพูชายืนยันตลอดมาว่าจะไม่คุยปัญหา 4 จุดใน JBC ครั้งนี้ เพราะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยทวิภาคี MOU43 เพราะมันล่าช้า และต้องการหาคนกลางหรือ “มือที่ 3” มาไกล่เกลี่ยให้ แล้วไทยจะเสนออะไรและยังไง


"เราต้องยอมรับว่ากัมพูชาฝีมือในการเมืองระหว่างประเทศเหนือชั้นกว่าไทย ไม่ว่าการวางตัวในเวทีโลก การหาแรงสนับสนุนจากทวิภาคีกับมหาอำนาจอย่างจีน ฝรั่งเศส ฯลฯ ลูกเล่นในการใช้กลไกระดับพหุภาคี ที่พยายามย้ำเสมอถึง ICJ และหลุดออกมาหลังๆ อย่างชัดเจนจาก รมว.สำนักนายกฯ ถึงการใช้เวทีสหประชาชาติ"


นายกัณวีร์ กล่าวว่า กัมพูชาเดินเกมนี้แน่นอน อย่างที่ตนย้ำเสมอว่ากัมพูชาจะจี้เข้าไปถึงการเสนอ ร่าง ข้อมติ หรือ resolution ของ UNGA เพราะไทยเราก็ต้องนั่งอยู่ในนั้น หนีไปไหนไม่ได้ ไทยเราเตรียมตัวสู้อะไรบ้างหรือยัง ดูเงียบจริงๆ


"อย่าหลงจุดหลงประเด็นกันในเรื่องอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า หนังไทยในกัมพูชา การเปิดปิดจุดผ่านแดน ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียวนะครับ ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่สำคัญ มันสำคัญที่กระทบต่อคนในพื้นที่ทั้งสองฝั่ง เพราะต้องใช้ชีวิตกันตลอดเวลา แต่อย่าทำให้ประเด็นต่างๆ เหล่านี้เบี่ยงเป้าประสงค์หลักของสถานการณ์นี้ จากฝั่งกัมพูชาด้วย"


นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่าการเรียกกระแสนิยมภายในประเทศกัมพูชาในตัวผู้นำ คือ ฮุน มาเนต คือเป้าหมายหลักของกัมพูชา ท่องไว้ให้มั่น และจะเห็นว่ากัมพูชาจะไม่หยุดทำดีกับไทยตามที่พูดออกมา แต่จะเอาไทยไปเชือดในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อเรียกกระแสนิยมจากคนในชาติ นั่นคือจุดหมายปลายทางของกัมพูชา แล้วไทยเตรียมการถูกเชือดไว้อย่างไร และเตรียมการตอบกลับอย่างไร


"เริ่มจาก JBC วันนี้เลยครับ เอาให้เขาเสียขบวนทางการทูต ยืนยันจะคุยจุดข้อพิพาททั้งหมดที่ไทย-กัมพูชามี ทั้ง 30 จุด และยืนยันว่ากรณีพิพาททางเขตแดนต้องแก้ไขด้วยทวิภาคีตามข้อตกลงเท่านั้น เพราะมันได้รับการ recognized ทางการตกลงของเราไว้เรียบร้อยแล้ว ผมคง hint ได้แค่นี้ ที่เหลือรัฐบาลต้องโชว์ฝีมือและศิลปะให้ได้ ว่าหากเขาเอาด้วยจะทำไงต่อ และหากเขาไม่เอาด้วยจะทำยังไงต่อ"


นายกัณวีร์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องคิด ต้องวางแผน ต้องวาง roadmap และกางมันออกมา การประชุมวันนี้ ตนก็เห็นว่ามีตัวหลักสำคัญของเราที่มีข้อมูลทั้งหมดส่งผู้แทนไปร่วมประชุม น่าเสียดาย งานสำคัญมาก


"อย่าปิดกั้นคนในประเทศในการเสนอข้อคิดเห็นด้วยตรรกะและเราจำเป็นต้องใช้ Public Diplomacy ในการทำงานด้านนี้ ที่ต้องสอดรับกับนโยบายและแผนงานภายในประเทศเรื่องการพัฒนา มันถึงจะแก้ไขปัญหาได้ ยังไงจะเสนอว่าต้องทำยังไงในเรื่องนี้นะครับ เรารอฟังผลวันนี้กันครับ และจะประเมินให้ฟังต่อไป"


ขณะที่ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กช่วงเย็นวานนี้ เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกช่วยกันเรียกร้องให้ไทยแก้ไขข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อกับกัมพูชาผ่าน ICJ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ ต้องใช้แนวทางสันติและถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นอีก


โดยพื้นที่พิพาทดังกล่าวก็คือ พื้นที่ 4 จุด ได้แก่ พื้นที่มอมเบย หรือสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างไทย ลาว และกัมพูชา รวมถึงบริเวณที่ตั้งของปราสาทโบราณ 3 แห่งคือ ตาเมือนโต๊ด ตาเมือนธม และตาควาย ที่กัมพูชาเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่าต้องให้ ICJ พิจารณา


โดยฮุนเซน ย้ำว่า ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งกินพื้นที่บริเวณชายแดนกว่า 800 กิโลเมตรระหว่างสองราชอาณาจักร จะยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจนผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ “แม้กระทั่งในศตวรรษหน้าก็ไม่สามารถแก้ไขได้” ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นช่องทางเดียวที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา


ฮุนเซน ยังยกตัวอย่างประเทศอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งล้วนแต่สามารถแก้ไขข้อพิพาทเรื่องดินแดนผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้สำเร็จ และรักษาความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งไว้ได้ในภายหลัง

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ