เลือกตั้งและการเมือง
เปิดคำชี้แจง “สมศักดิ์” ต่อแพทยสภา ย้ำคิดให้ดีก่อนลงมติ ปัดปกป้อง “ทักษิณ”
โดย JitrarutP
12 มิ.ย. 2568
568 views
เปิดคำ “สมศักดิ์” รมว.สารธารณสุข ชี้แจงต่อ “แพทยสภา” ปมวีโต้ลงโทษแพทย์รักษา “ทักษิณ” ชั้น 14 ยกหลายเหตุผลให้แพทยสภาคิดให้ดี ยัน ไม่ได้ปกป้องหรือเป็นคนของ อดีตนายกฯ เจ้าตัวเผยบรรยากาศในห้องเงียบสงบ ยืนยันแม้บอร์ดฯ ลงมติตามเดิมไม่ได้หมายความว่า “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ ชี้ ไม่เกี่ยวกัน เป็นคนละประเด็น ลั่น “ถ้ารู้สึกผิดในใจก็ทบทวนเถอะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ได้เข้าชี้แจง ต่อกรรมการแพทยสภา เป็นเวลา 15 นาที และเดินทางออกจากห้องประชุม ได้มีการจัดทำคำชี้แจงฉบับเต็มเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน โดยมีเนื้อหา ดังนี้
อาศัยอำนาจ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทยจริยธรรมทางการแพทย์นั้น มิใช่เพียงข้อบังคับ หากแต่คือแก่นของวิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย
โดยต้องตั้งอยู่บนหลัก 4 ประการ คือ การเคารพเจตจำนงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องด่าเนินการด้วยความรอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเอาผิดเพื่อตอบต่อกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต
ผมขอเรียนทุกท่านว่า ผมได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ได้จากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมีท่าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมรลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและทุ่มเท ใช้เวลาดำเนินการสอบสวนยาวนานถึง 5 เดือน 5 วันโดยผลการพิจารณาชั้นคณะอนุกรรมการสอบสวบสวนชุดเฉพาะกิจ ปรากฏดังนี้:
1. นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข - มีความเห็นยกข้อกล่าวหา
2. พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ - เห็นควรลงโทษในระดับเบา โดยมีมติให้ "ว่ากล่าวตักเตือน"
3. พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ - มีความเห็นว่า "ควรภาคทัณฑ์"
4. พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ - มีความเห็นชัดเจนว่า "ไม่มีความผิดทางจริยธรรม"
แม้กายหลังจะปรากฏว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรองและคณะกรรมการแพทยสภาในชั้นสุดท้าย มติที่ออกมา "กลับพลิกผัน" ไปจากผลการสอบสวน โดยมีการลงโทษที่สูงขึ้น ทั้งในรูปแบบของการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นการตีความที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมที่ต่างจากชั้นสอบสวนแต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และไม่อาจละเลยได้ก็คือ เหตุใดคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ จึงไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการสอบสวนดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติม หรือเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงมติอย่างมีนัยสำคัญในชั้นสุดท้ายเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีแรงจูงใจอื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพมาประกอบในการตัดสินใจหรือไม่
ในระหว่างกระบวนการพิจารณา ผมได้พยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ทางแพทยสภากลับมีความเห็นว่า ได้ส่งเอกสารให้ "เพียงพอแล้ว" ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญเช่นนี้ อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้านในวันนี้
การลงมติในครั้งนี้ ผมก็คาดหวังว่ากรรมการทุกคนที่มาลงมติจะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง
ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าการพิจารณาเสนอให้ยับยั้งมติในครั้งนี้ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบด้าน แต่เนื่องจากผมมีความเห็นแตกต่างจากที่ประชุมแพทยสภาจึงนำมาสู่การประชุมในวันนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันพิจารณาอีกครั้งด้วยความรอบคอบที่สุด
โดยผมขอชี้แจงเหตุผลการยับยั้งมติดังนี้ครับ กรณี นพ.วัฒน์ชัยฯ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้ คณะกรรมการแพทยสภาได้วินิจฉัยโดยรอบคอบและมีมติยกข้อกล่าวหา เมื่อพิจารณาร่วมกับเอกสารและข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมเห็นว่า มติดังกล่าว สอดคล้องกับหลักนิติธรรม และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จึงเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการแพทยสภา
กรณี พญ.รวมทิพย์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 2) ถูกกล่าวหาว่าออกใบส่งตัวผู้ต้องขังแรกรับไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังถูกส่งไปรักษานอกเรือนจำ และถูกตีความว่าเป็นการไม่รักษามาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
อย่างไรก็ตาม การออกใบส่งตัวล่วงหน้าในขั้นตอนตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเป็นแนวปฏิบัติปกติในเรือนจำ เพราะเรือนจำไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ประจำหรือแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา และเป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่ผู้ต้องขังมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง
ในกรณีนี้ แพทย์เพียงอนุญาตให้นำใบส่งตังตัวเดิมไปใช้ตามคำร้องของพยาบาลเวรในภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจส่งตัวผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำพฤติกรรมของ พญ.รวมทิพย์ฯ จึงอยู่ในขอบเขตของวิชาชีพแพทย์อย่างเหมาะสม ไม่ปรากฏเจตนาทุจริต และไม่ควรถือเป็นความผิดทางจริยธรรม
กรณี หมอโสกณรัชต์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ถูกกล่าวหาว่า ให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ข้อเท็จจริงคือ หมอโสภณรัชต์ฯ ไม่ได้กล่าวว่าผู้ป่วย "วิกฤติ" แต่อย่างใด คำพูดที่ว่า "ความดันยังสูงอยู่" และ "ยังมีอาการน่าเป็นห่วง" เป็นการอธิบายสภาพ ผู้ป่วยตามเวลานั้นไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือน และมีได้ขัดแย้งกับเวชระเบียนในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งมิใช่แพทย์เจ้าของใช้ การตอบคำถามนักข่าวต่อหน้า โดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นการให้ข้อมูลตามหน้าที่โดยสุจริต การตีความถ้อยคำ ดังกล่าวว่าเป็นความผิดจริยธรรมจึงไม่เป็นธรรม และไม่ควรใช้เป็นเหตุลงโทษทางวิชาชีพ
กรณี พล.ต.ท. นพ. ทวีศิลป์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ถูกกล่าวหาว่าเขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล ซึ่งถูกตีความว่าให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง เรื่องนี้ที่ท่านลงโทษหมอทวีศิลป์เพราะว่ามีการลงความเห็นการรักษา
แพทย์ที่ไม่ตรงกัน ความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการใช้ดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งข้อเท็จจริงจากการสอบสวน ความเห็นในในใบแสดงความเห็นแพย์ของหมอทวีศิลป์ฯ ไม่มีข้อความส่วนใดเป็นเท็จ แต่ข้อความที่ถูกลงโทษเกิดจากความเห็นแพทย์ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ความเห็นของแพทย์ที่มีลักษณะดูแลแบบองค์รวม ไม่ไม่ได้มุ่งหมายเสพาะโรคใดโรคหนึ่ง หากจะมีความแตกต่างกัน ก็ไม่ควรจะถือว่าความเห็นเหล่านั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เรื่องนี้แม้แต่คณะอนุกรรมการสอบสวน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ก็ยังมีการสรุปความเห็นมาก่อนแล้วว่า กรณีหมอทวีศิลป์ไม่ควรเป็นความผิด
การวินิจฉัยเช่นนี้ก็รับฟังได้ มีเหตุผลท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน,การตัดสินว่าการกระทำใดละเมิดจริยธรรมหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทโดยรอบ ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์ตายตัว หากเราต้องการรักษาจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ให้มั่นคงและเป็นธรรม ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความเมตตา และความกล้าหาญที่จะตัดสินโดยปราศจากอคติ
ท่านทั้งหลายรู้สึกไหมว่า ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจะเชื่อว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ "ตีวัวกระทบคราด"ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรมและเหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี เมื่อเดินเข้าเรือนจำ ท่านก็ได้รับการตรวจร่างกายเบื้องต้น
ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กับผู้ต้องขังแรกรับทุกคน โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินสุขภาพและความจำเป็นในการรักษา ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับผู้ต้องขังรายอื่นเพียงแค่ผู้ป่วยอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพรองรับการรักษาเฉพาะทางตามความจำเป็น กลับกลายเป็นเหตุให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในห้วงเวลาดังกล่าว ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรม ทั้งที่กระทำไปด้วยความรับผิดชอบในวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย เท่านั้นหรือ
พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 บัญญัติให้การคุมขังในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ หรือ House Arrest เป็นหนึ่งในวิธีการการคุมขัง ที่ใช้แนวคิด บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงความเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ เพื่อคุมขังผู้ที่ไม่ใช่ผู้ต้องขังอุจฉกรรจ์ อันเป็นนโยบายการลงโทษที่ก้าวหน้าและเป็นทิศทางที่สำคัญที่จะมีต่อไปในกระบวนการยุติธรรม
แต่หากมีการลงโทษหมอรักษาคนในกรณีนี้ จะมีส่วนสำคัญที่จะเป็นอุปสรรคต่อแนวคิดการบริหารงานราชทัณฑ์และกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม ผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่แพทย์สามท่าน แต่คือทุกคนในสังคมและผมเองไม่อยากเห็นวันที่เราคนใดคนหนึ่งจำเป็นจะต้องถูกส่งตัวไปรักษา หรือคุมขังนอกเรือนจำหรืออยากจะใช้ House Arrest ที่ผมได้กล่าวถึง ... แต่มันไม่มีเพราะเรื่องที่เราทำกันในวันนี้
กรรมการหลายท่านในวันนี้ อาจมีความเชื่อในใจว่า ผมมาอธิบายเพื่อปกป้องอดีตนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้ ผมมาในฐานะ 'คนนอก' คนหนึ่ง ที่มาปกป้องเพื่อนร่วมวิชาชีพของท่าน พี่น้องของท่าน และลูกหลานของท่าน และผมอยากฝากคำถาม 3-4 ข้อ ให้กรรมการทุกท่านค่อยๆช่วยกันคิดนะครับ
1. การตัดสินใจของเราในวันนี้ จะสร้างบรรทัดฐานอะไรให้กับวงการแพทย์ในอนาคต? เราจะทำให้แพทย์เก่งๆ อีกหลายคนไม่กล้าตัดสินใจใจในภาวะวิกฤตที่ต้องเลือกระหว่างความเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนใช้ให้ดีที่สุด กับความปลอดภัยของต้าเอง เพราะต้องกลัวถูกลงโทษอย่างรุนแรงหรือไม่? เรากำลังสร้าง วัฒนธธรรมแห่ง”ความกลัว' แทนที่จะเป็นวัฒนธรรมแห่ง 'ความตั้งใจสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย' หรือเปล่าครับ?"
2. ในฐานะกรรมการผู้ทรงเกียรติ หากในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มีบริบททางสังคมเปลี่ยนไป และสังคมมองย้อนกลับมาว่าการตัดสินใจของเราในวันนี้คือ 'ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์' ของวงการแพทย์ เป็นการลงโทษที่เกิดจากอคติในใจ ไม่ใช่เพื่อจรรยาบรรณอย่างแท้จริง... เราจะอธิบายต่ออนุชนรุ่นหลัง และต่อมโนธรรมของตัวเองว่าอย่างไร ว่าเราได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วจริงหรือไม่?"
3. ผมขอถามความรู้สึกจากใจจริงของทุกท่าน... มีแม้แต่เพียง "เสี้ยวหนึ่ง' ในใจของท่านหรือไม่ ที่รู้สึกว่า "อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้อง' ในกระบวนการนี้? มีความลังเลแม้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ว่า โทษที่เรากำลังจะมอบให้ มัน 'รุนแรงเกินไป' เมื่อเทียบกับเจตนาและข้อเท็จจริงทั้งหมด? หากมีความรู้สึกนั้นแม้เพียงนิดเดียว มันไม่ได้กำลังบอกเราหรอกหรือ ว่าเราควรหยุดทบทวนอย่างจริงจัง ก่อนที่จะทำลายชีวิตของเพื่อนร่วมวิชาชีพคนหนึ่งไปตลอดกาล?"
4. สุดท้ายนี้ ผมอยากขอให้ทุกท่านลองจินตนาการว่า ถ้าเหล่าแพทย์ที่ท่านกำลังจะลงโทษนั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็น ลูกหลานของเราหรือเป็นตัวเองในวันที่อ่อนประสบการณ์ที่สุด.... เระยังคงยืนยืนยันในบพลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้หรือไม่? เราจะต้องการคณะกรรมการที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและ 'ให้ความเมตตา' หรือต้องการคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ตัดสินอย่าง 'เย็นชา' โดยมีปัจจัยภายนอกชี้นำ!เดียวกับที่เราอยากจะได้รับหรือไม่?
ในการประชุมวันนี้ ขอให้พวกเราช่วยกันตัดสิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่ในฐานะกรรมการ เพียงอย่างเดียว ผมเชื่อเสมอว่า ความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด
ต่อมา เวลา 12.17 น. ที่อาคารแพทยสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมเรื่องวีโต้มติแพทยสภา ลงโทษ 3 แพทย์ที่รักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ณ รพ.ตำรวจ ชั้น14 ก่อนกรรมการแพทยสภาจะลงมติอีกครั้ง
โดยนายสมศักดิ์ กล่าว ตนเข้าไปโดยใช้เวลา 15 นาทีและได้ใช้เอกสารที่เตรียมมาทั้งหมด 10 หน้าประกอบการชี้แจง ขณะเดียวกันเรื่องของข้อกฎหมายมี 2 หน้าที่แนบไป ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของผู้มีสิทธิในการเข้าประชุม ซึ่งเป็นคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
จากนั้น ได้อธิบายความตามที่เคยอธิบายไป ในเรื่องของการลงโทษ และเรื่องจริยธรรม ในช่วงของสรุปคณะกรรมการคงได้ดูว่าเรื่องของการลงโทษตรงนี้จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ แล้วลูกหลาน ของคนไทยที่เป็นแพทย์จะขาดความมั่นใจในการรักษาผู้คนหรือไม่อย่างไร แล้วจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นกับคนป่วยที่ไม่ได้ไม่ได้ทุ่มเทหรือไม่
ทั้งนี้ ตนได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า อย่างโรงเรียนแพทย์ยูฮอสเน็ต หรือโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เวลาเราส่งคนไข้ตามหลัก สปสช. ไป ถ้าเราส่งไป 1 โรค แต่เขาดู 3 โรคกลับมา ค่ารักษาก็เพิ่มขึ้น มองว่าต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ยอมรับและแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องการดูแลและเอาใจใส่ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรมากมาย แต่เราก็ต้องจ่ายเงินไปตามที่รักษาด้วย เพราะฉะนั้นมองว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ อีกทั้งได้เน้นย้ำในคณะกรรมการของ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ซึ่งใช้เวลา 5 เดือนกว่า กับการส่งคำพิจารณาโทษลงไป อยู่ๆ คณะกรรมการจริยธรรมกลั่นกรอง ประชุมบอร์ดเพียง 7 วัน มาประชุมการใช้เวลาสั้นๆไม่ถึง 1 วัน เห็นมีบางคนบอกว่าประชุมไม่ถึง 3 ชั่วโมง แล้วมาปรับแก้โทษไปทั้งหมด ซึ่งมองว่าบอร์ดไม่ได้อ่านโดยละเอียด และได้มีการลงโทษไป ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อเสนอไป เช่นว่า “หากเป็นลูกหลานเขาเอง และเขามีความรู้สึกผิดอยู่ในใจบ้างเล็กน้อยก็ทบทวนเถอะ “ยืนยันว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลาเต็มที่เท่าที่ได้
ขณะเดียวกันระหว่างที่ตนชี้แจงนั้นในส่วนของคณะกรรมการแพทยสภาไม่ได้มีการสอบถามกลับมา เพราะตนเข้าไปชี้แจงเท่านั้น พอหมดเวลาก็ออกมาตามมารยาท แต่ระหว่างการเข้าไปชี้แจงนั้นได้ขอเวลาในการเปิดคลิปเกี่ยวกับเรตติ้งของแพทยสภา ที่คนไม่เชื่อมั่นกว่า 54% ตามการสำรวจของนิด้าโพล
นายสมศักดิ์ ยังเล่าถึงบรรยากาศในห้องประชุมด้วยว่า “เงียบสงบ มีเพียงเสียงครืดคราดซึ่งเป็นเสียงของระบบสื่อสารเท่านั้น ส่วนบอร์ดมาครบหรือไม่นั้นไม่ทราบแต่มาเต็มห้อง”
เมื่อถามถึงเนื้อหาในหนังสือมีคำว่า “ตีวัวกระทบคราด” หมายความว่าอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็หมายความแบบนั้นแหละ หมายความว่า โกรธอีกคนหนึ่งแต่ไปตีอีกคนหนึ่ง คนที่ถูกตีก็เจ็บก็กระเทือนไปกับทั้งระบบหมอที่เกิดมาใหม่ เดี๋ยวไม่มีใครอยากมาทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งพวกเราก็เดือดร้อนและขาดแพทย์อีกตั้ง 30,000 คนทั่วประเทศ
เมื่อถามว่าหากบอร์ดแพทยสภาลงมติตามเดิม มองอย่างไรบ้าง นายสมศักดิ์ ระบุว่า “หน้าที่ผมก็จบ ในเรื่องของแพทยสภาแล้วก็ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ และผมเห็นในมาตรา 24 ผมสามารถที่จะทำการชี้แจงและทำความเข้าใจหรือเพิ่มเติมในส่วนที่ให้ข้อคิดแนวทางต่างๆได้ก็ทำให้ครบ” แต่หากผลไม่เป็นไปตามที่วีโต้นั้น “ก็เป็นหน้าที่ของผู้อื่นแล้ว ผมทำหน้าที่ครบ”
ส่วนประเด็นที่มีผู้ร้องให้ยกเลิกตำแหน่งสภานายกพิเศษนั้น นายสมศักดิ์ มองว่า ตำแหน่งนี้สำหรับตนไม่ได้คิดอะไรเลย ตนตามหน้าที่ หากไม่ทำตามหน้าที่จะถูกร้องเรียนได้ ซึ่งการทำหน้าที่ผมไม่ได้สบายนัก เพราะต้องดูอะไรต่างๆแต่ก็พยามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตำแหน่งนี้ก็ว่าไปตามกฎหมาย
“มีงานมากก็เหนื่อยมาก แต่บางทีเป็นงานที่คนทะเลาะกัน อย่างผมเนี่ย จะไปทะเลาะกับใคร เกิดมาในชีวิต เป็นนักการเมืองก็นานแล้ว ผมทำหน้าที่ซึ่งพวกคุณก็จะเห็นว่า เป็นนักการเมืองที่มีผลกระทบกับนักการเมืองด้วยกันน้อยกันน้อยที่สุด เพราะพยายามทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของเรา ไม่ได้เข้าไปยุ่งหน้าที่ของผู้อื่น” นายสมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าหากแพทย์ถูกดำเนินคดี ทางกระทรวงจะมีการตั้งทีมทนายช่วยเหลือหรือไม่ นายสมศักดิ์ บอกว่า “ก็ไม่ได้เกี่ยวกัน“
ช่วงหนึ่งนักข่าวถามว่าประเด็นทักษิณ ชั้น 14 นี้ ทุกมองถึงประเด็นการเมืองว่ากำลังอุ้มแพทย์ฝั่งนายทักษิณ นายสมศักดิ์ ย้ำว่า “ไม่ใช่หรอก เพราะในเรื่องของท่านอดีตนายก มันจบและผ่านไปแล้ว แต่การลงโทษของแพทย์ตรงนี้จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ลูกหลานคนเรียนแพทย์จะสะดุ้งกลัวหนาวสั่นกันไปเปล่าๆเพราะเจตนาดี
ก่อนจะยกตัวอย่างถึงเรื่องที่มีกรรมการสิทธิมนุษยชนและมีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาหาตน ขอให้ทำเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาที่ประท้วงแล้วถูกจองจำ จากนั้นอดอาหาร สุดท้ายเสียชีวิต เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ ตรงนี้แพทย์ก็ไปทำอะไรไม่ได้ ซึ่งต้องบอกว่าบางทีการอยู่ในเรือนจำมีแพทย์ก็จำกัด ทั้งกรมคาดว่ามีแพทย์อยู่ 18 คน แต่ไม่รู้ว่ามีนักโทษอยู่อีกหมื่นๆคน
”เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาไปอยู่ห้องขัง ในส่วนของคนอายุ 70 ปี ขึ้น หรือ คนอายุ 20 ปี ไม่เท่าไหร่หรอก แต่คน 70 ปี มันจะตื่นเต้น ความดันขึ้น ซึ่งก็ต้องระมัดระวัง“ นายสมศักดิ์ ระบุ
จากนั้นนักข่าวถามย้ำอีกว่าหากบอร์ดแพทยสภาลงมติตามเดิมจะเป็นการยืนยันว่าอดีตนายกทักษิณไม่ได้ป่วยเลยหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน คนละประเด็น อันนี้เป็นเรื่องจริยธรรมแพทย์ หากไปถามเช่นนั้นมันจะปนกันจะทำให้คนฟังงงงวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่สมศักดิ์ให้สัมภาษณ์อยู่นั้น มีประชาชนที่มาปักหลักติดตามการลงมติของแพทย์สภาและการชี้แจงวีโต้ของนายสมศักดิ์ได้ตะโกนเชิงขับไล่ว่า “สภานายกพิเศษมีไว้ทำไม” บางจังหวะเป่านกหวีด พร้อมตะโกนว่า “ออกไปๆ”
แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวการเมือง ,สมศักดิ์เทพสุทิน ,แพทยสภา ,ทักษิณชินวัตร