เลือกตั้งและการเมือง
“ช่อ” จี้นายกฯ ปรับปรุงตัว ซัดไม่มีภาวะผู้นำ ย้ำเราไม่ได้ท้าตีท้าต่อย แต่รบ.เอาให้ชัดจะทำอย่างไร
โดย chutikan_o
4 มิ.ย. 2568
175 views
“ช่อ” จี้นายกฯ ปรับปรุงตัว ซัดไม่มีภาวะผู้นำ ไร้เดียงสาทางการเมือง บอกคำพูดวันนี้เบาที่สุด ย้ำเราไม่ได้ท้าตีท้าต่อย แต่รัฐบาลเอาให้ชัดจะทำอย่างไร เหตุ “นายกฯ-พ่อนายกฯเขมร” ออกมาโจมตีไทยตลอดทุกวัน เชื่อกลไกทวิภาคีมีประสิทธิภาพ แต่ “ฮุนเซน” โหมกระพือหนัก จะยอมลงที่โต๊ะ JBC หรือ แนะหามาตรการควบคู่ด้วย
วันที่ 4 มิ.ย. 2568 ที่รัฐสภา น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ โฆษกคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลกรณีชายแดนไทยกัมพูชา ว่า อย่างน้อยที่สุดวันนี้ ต้องชมรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่บอกว่าจะไม่มีการนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลก ขอเป็นเรื่องที่แขวนลอยอยู่บนอากาศ โดยการโยนมาจากฝั่งกัมพูชาหลายวันแล้ว เห็นด้วยว่าอย่างไร กลไกทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศจะเป็นกลไกที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการคลี่คลายความขัดแย้งทางชายแดน โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลก
ทั้งนี้ เรื่องที่รัฐบาลยังทำไม่พอมีเยอะ ประเด็นแรกสำคัญที่สุดคือภาวะผู้นำ สถานการณ์ในวันนี้ค่อนข้างวิกฤติ และเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนติดตามอย่างใกล้ชิด และรู้สึกว่าประเทศจำเป็นจะต้องตอบโต้กับกัมพูชา ซึ่งตนเองไม่ได้เห็นด้วยแน่ๆ กับการให้รบกัน โดยจะนำมาสู่ความสูญเสียของทางฝั่งไทย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพี่น้องประชาชนที่อาจจะต้องอพยพ หรือต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
แต่ต้องยอมรับว่านายกรัฐมนตรีมีวุฒิภาวะและภาวะผู้นำพร่องไป เพิ่งรู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเราเห็นทั้งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและพ่อของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาด้วย และเป็นประธานองคมนตรีด้วย ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ ออกมาโจมตีไทยตลอดทุกวัน บางวันก็มีหลากหลายประเด็น แต่ในระดับการตอบโต้ของประเทศไทย เราจะเห็น เพียงแต่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีการแถลง และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ส่วนวันนี้ที่นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะพูด ก็กลายเป็นว่าประเด็นที่ได้รับความสนใจกลับเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรีไม่พอใจนักข่าว ที่ไปสอบถามในประเด็นที่ทุกคนอยากรู้ว่านายกจะตอบอย่างไร ถึงท่าที จุดยืนของไทยอ่อนไปหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องนี้ ที่ประเทศชาติอยู่ในสภาวะวิกฤติทางชายแดนแบบนี้
“เราต้องการภาวะผู้นำจากนายกรัฐมนตรี นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด แต่สิ่งที่เราได้รับในวันนี้ ต้องขอให้นายกรัฐมนตรี ปรับปรุงจริงๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ท่าทางกัมพูชาตอบโต้กลับมาโดยการใช้นายกรัฐมนตรี หรือพ่อของนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยที่สุดทางการไทย ก็ต้องให้นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตอบโต้เพื่อท้าตีท้าต่อย แต่มีหลากหลายวิธีที่จะยืนยันในจุดยืน และเกียรติภูมิของประเทศของเรา โดยผู้นำของเราเอง” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 ที่ยังพร่องไป คือการแสดงจุดยืนและนโยบายที่เป็นรูปธรรม ว่าเราจะตอบโต้กัมพูชาอย่างไร โดยที่ไม่ใช่การรบ วันนี้นายภูมิธรรม พูด 1 ประโยคที่ ตนเองก็ตกใจเหมือนกัน ที่บอกว่า “คนไทยอย่ารู้มากไปเลย เดี๋ยวจะเสียเปรียบในการเจรจา รัฐบาลเตรียมไว้อยู่แล้ว” คือพูดในทำนองว่า “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย เชื่อเถอะว่าเอาอยู่ เตรียมไว้หมดแล้ว ถ้าพูดออกไปเยอะ เดี๋ยวจะไปเสียเปรียบเขา” ซึ่งตนเองคิดว่าถ้าเราพูดโดยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลเอาอยู่จัดการได้ อันนี้ยังพอฟัง แต่ถามประชาชนทุกคนว่าวันนี้ รัฐบาลเรามีเครดิตขนาดนั้นหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือเวทีระหว่างประเทศ รัฐบาลเราได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนในระดับนั้นหรือไม่
“เรื่องนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเพื่อไทยจริงๆ ที่ประเทศเผชิญวิกฤติแบบนี้ แล้วยังมีรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ ขาดความมั่นใจจากประชาชน ขาดแรงหนุนจากประชาชน แต่ในเมื่อเป็นแบบนั้นไปแล้ว แทนที่จะบอกว่าให้เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะสร้างเครดิตให้กับรัฐบาลในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ คือต้องเอาให้ชัดว่าจะทำอย่างไร” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส. พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ข้อกังวลที่ 3 จากการที่ได้ฟังคำพูดของนายภูมิธรรมวันนี้ ที่ฝากความหวังไว้ที่การประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. การเจรจาโดยใช้กลไกปกติที่มีอยู่แล้ว เป็นเรื่องดี แต่ก็ขอฝากไปให้พิจารณาว่า โต๊ะกลไก JBC ซึ่งเป็นกลไกปกติ เพียงพอหรือไม่ ในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติในรอบนี้ เพราะทางฝั่งกัมพูชาทั้งนายฮุน มาเนต , นายฮุน เซน ดูแล้วโหมกระพือหนัก คิดว่าเป็นไปได้ยากที่จะยอมลงให้กันใน JBC เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะสงบอยู่ในที่ตั้งและรอเจรจาใน JBC อย่างเดียว รัฐบาลไทยควรพิจารณามาตรการควบคู่กันไป ซึ่งมีหลากหลายวิธีที่ไม่ใช่การแสดงออกทางการทูต เช่น ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต ไฟที่ส่งไปให้ อินเทอร์เน็ตที่ส่งไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พิจารณาตัดหรือไม่ พ.ร.ก. เรื่องอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่งผ่านไปใช้เลยหรือไม่ เพราะว่าไม่เช่นนั้น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จะต้องรับผิดชอบรับผิดร่วมกันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เรื่องเหล่านี้ได้ประโยชน์ทั้งฝั่งไทย และได้ประโยชน์กับทั้งฝั่งคนที่เป็นประชาชนชาวกัมพูชา เพราะเราไม่ได้ไปตัดน้ำตัดไฟประชาชน แต่เราตัดไฟตัดเน็ต แก๊งคอลเซ็นเตอร์
“อย่างที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชนบอก เช็กเลยบรรดาออกญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีทรัพย์สินเท่าไหร่ในเมืองไทย DSI อายัดได้หรือไม่ เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นกระบวนการที่เราสามารถทำได้ ภายใต้กรอบกฎหมายของเรา ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงท่าที ที่เราตอบโต้อย่างรักษาเกียรติภูมิของประเทศ และไม่ได้เป็นอันธพาล ไม่ได้เป็นการท้าตีท้าต่อย จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณา เพราะลำพังหวังเพียงการเจรจาใน JBC ต้องบอกตามตรงว่า ดูจากประวัติที่ผ่านมาของการการดำเนินนโยบายต่างประเทศของฮุนเซน ถ้าเขายอมลงให้เรารอบนี้ใน JBC ถือว่าแปลกมาก คงจะไม่ใช่อดีตนายกฯ ฮุน เซน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว ถึงขั้นพูดว่าจะเป็นฉนวนกาซ่า หรือจะเอาขึ้นศาลโลก ดิฉันคิดว่าไทยเองควรจะต้องตอบโต้ ให้อยู่ในน้ำหนักเดียวกับ ที่กัมพูชาตอบโต้กับเรา” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
ส่วนที่มีความพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างนายฮุน เซนกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นผลดีหรือผลเสียกับเรา น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เมื่อฟังคำพูดของนายกรัฐมนตรีในวันนี้เป็นคำพูดที่น่าตกใจ ที่ยอมรับว่าผู้นำไทยกับกัมพูชา เป็นเพื่อนกัน คำนี้ถ้าพูดกันในภาวะปกติไม่แปลก ผู้นำประเทศในไหนก็เป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้ว เพียงแต่การพูดในสถานการณ์แบบนี้ นายกรัฐมนตรีอาจจะขาดความเข้าใจ สถานการณ์ทางการเมืองภายในกัมพูชา ซึ่งนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านพลัดถิ่นของกัมพูชา โจมตีรัฐบาลนายฮุน เซน นายฮุน มาเนตมาโดยตลอด ว่าเป็นพวกที่ขายชาติ เป็นคนที่มาเกี๊ยเซี๊ยกับตระกูลชินวัตรของไทย ทำให้ผลประโยชน์แห่งชาติของกัมพูชาสูญเสียไป และมีการคาดการณ์กันว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ นายฮุน เซน และนายฮุน มาเนต มีท่าทีแข็งกร้าว เพื่อลบข้อครหาที่ว่าทางตระกูลฮุนเซนกับตระกูลชินวัตร เกี๊ยะเซี๊ยะกันเพื่อประโยชน์ของตนเอง และละเลยผลประโยชน์ชาติ
“เพราะฉะนั้นคำพูดของนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ดิฉันจึงถือว่า เบาที่สุด คือนายกรัฐมนตรีขาดความเข้าใจอย่างหนัก และคิดว่าอาจจะไร้เดียงสาทางการเมืองเกินไป ในการที่พูดประโยคนี้ออกมา ซึ่งเราไม่รู้ว่าทางกัมพูชา จะนำไปต่อยอดหรือนำไปปั่นกระแส กันมากแค่ไหน แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วเราก็ต้องเฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด สถานการณ์ ณ ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดคือ ยุติการชูความสนิทสนมส่วนบุคคล เพราะนี่คือเรื่องของบูรณภาพทางดินแดน นี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์รัฐต่อรัฐ” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ตนเองเชื่อมั่นในกลไกของกระทรวงการต่างประเทศและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เชื่อว่ากลไกเหล่านี้ รวมถึงทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน เป็นกลไกปกติ แบบรัฐต่อรัฐ ที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ขอให้หยุดใช้เรื่องส่วนตัวหรือสายสัมพันธ์ส่วนตัว มาบอกว่าคลี่คลายสถานการณ์ได้ ด้วยความสนิทสนมกัน เพราะยิ่งเหมือนกันราดน้ำมันลงบนกองไฟ จะทำให้คุณเซ็นอาจจะต้องตอบโต้ ด้วยท่าทีแข็งกร้าว ยิ่งขึ้นเพื่อลบข้อครหาที่เขาถูกโจมตี
ส่วนที่มีหลายคนเป็นห่วงว่าครั้งนี้ไทยอาจจะเสียดินแดนไปอีก เหมือนเช่นครั้งเขาพระวิหาร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าเราจะเสียดินแดน เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไร ก็จะสามารถคลี่คลายไปได้ แต่สิ่งที่อยากให้ระวังคือกระแสชาตินิยมเข้มข้น
ชาตินิยมสุดโต่งกันในช่วงนี้ ด้วยการกระตุ้นความยั่วยุ จากประเทศข้างๆ ซึ่งก็เห็นกันอยู่ว่ามีความพยายามยั่วยุปลุกปั่นเพื่อคะแนนนิยม ภายในประเทศของเขาจริงๆ อยากจะเตือนประชาชนคนไทยว่าอย่าไปเข้าทางเขา เรื่องการเสียดินแดนไม่เสียหรอก เราจะสามารถพูดคุยเจรจา และใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ที่ไม่ใช่การสู้รบ ในการจัดการปัญหานี้ได้ เพียงแต่ขอให้รัฐบาล มีท่าทีที่ชัดเจน และเข้มแข็งกว่านี้ในการตอบโต้กับกัมพูชาที่มีน้ำหนักเสมอกัน
แท็กที่เกี่ยวข้อง ช่อพรรณิการ์ ,นายกฯ