เลือกตั้งและการเมือง
“พรรคประชาชน” จ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ สอบ “พิเชษฐ์” ผิด ม.144ชงโครงการ-โยกงบ-คาบเกี่ยวพื้นที่ตัวเอง
โดย paranee_s
31 พ.ค. 2568
259 views
พรรคประชาชน แจ้งผ่านกลุ่มไลน์สื่อมวลชนประจำพรรค ว่า จากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ของ ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เปิดเผยถึงพฤติกรรมของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มอบหมายที่ปรึกษาของตัวเองเขียนโครงการของบอบรมสัมมนาของสภาฯ โดยการจัดกิจกรรมของโครงการกลับไปกระจุกในจังหวัดของตัวเอง และได้มีการโยกงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในโครงการอื่น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเสี่ยงจะขัดต่อกฎหมาย
เพื่อตรวจสอบกรณีดังกล่าว พรรคประชาชนจะดำเนินการรวบรวมรายชื่อ สส. เพื่อเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม เพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง อาจมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
โดยการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ซึ่งเข้าข่ายการกระทำที่ถูกห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง โดยหากมีความจำเป็น อาจมีการพิจารณาดำเนินการตรวจสอบผ่านกลไกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกช่องทางหนึ่ง
ย้อนดูการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบฯ ของ "สส.ภัณฑิล" พรรคประชาชน
พรรคประชาชน ได้โพสต์รายละเอียดการอภิปรายของภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ไว้ในเฟซบุ๊กพรรค ระบุว่า [ แฉพฤติกรรมรองประธานสภาฯ ชงโครงการเอง โยกงบเอง เน้นลงพื้นที่ตัวเอง โนสนโนแคร์แม้ส่อผิดกฎหมาย ] รัฐสภาเป็นอีกหน่วยรับงบประมาณหนึ่งที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมากในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
และในปีงบประมาณ 2569 ก็เป็นอีกปีที่รัฐสภามีการของบประมาณที่มีความผิดปกติและการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายในหลายโครงการด้วยกัน โดย ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพ พรรคประชาชน ได้ยกขึ้นมาอภิปรายในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในครั้งนี้
ในการของบประมาณของรัฐสภาในปีงบประมาณ 2569 เป็นโครงการใหม่ขนาดใหญ่ถึง 15 โครงการ ใช้งบประมาณรวมถึงกว่า 3,500 ล้านบาท ได้รับการจัดสรรอนุมัติ 10 โครงการ คิดเป็นงบประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท
ด้านล่างนี้เป็นเพียงตัวอย่างจำนวนหนึ่งของการของบประมาณสภาที่เป็นโครงการก่อสร้างในปี 2569 อันได้แก่
๐ โครงการพัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D งบประมาณ 180 ล้านบาท
๐ โครงการปรับปรุงไฟส่องสว่างห้องประชุมสัมนา B1-B2 งบประมาณ 117 ล้านบาท
๐ โครงการปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณ งบประมาณ 118 ล้านบาท
๐ โครงการติดตั้งระบบแสงสีเสียงประจำห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ 1,500 ที่นั่ง งบประมาณ 99 ล้านบาท
๐ โครงการปรับปรุงศาลาแก้ว งบประมาณ 113 ล้านบาท
๐ โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา งบประมาณ 99 ล้านบาท (ครม. อนุมัติ 40 ล้าน)
๐ โครงการปรับปรุงฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา งบประมาณ 133 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุมัติ)
๐ โครงการที่จอดรถ งบประมาณ 4,284 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุมัติ)
๐ โครงการจัดทำคลังแสงอาวุธยุทธภัณฑ์และระบบบริหารจัดการด้านอาวุธสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา งบประมาณ 24 ล้านบาท (ครม. ไม่อนุมัติ)
[ จับพิรุธที่จอดรถสภา 4.6 พันล้าน ]
ในส่วนของโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่ามากที่สุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือโครงการก่อสร้างอาคารที่จอดรถใต้ดินของสภามูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท
โดยแบ่งออกเป็นงบประมาณก่อสร้าง 4,284 ล้านบาท และที่เหลือเป็นงบประมาณสำหรับออกแบบและควบคุมงาน แม้จะยังไม่ได้รับการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างจากคณะรัฐมนตรีในปีนี้ แต่ผู้บริหารสภาก็รีบเร่งเข้าสู่กระบวนการออกแบบและมีการเปิดประมูลไปแล้ว
⚫เมื่อยังไม่ได้อนุมัติงบประมาณให้ก่อสร้าง งบประมาณในการออกแบบจึงต้องใช้ “วิธีพิเศษ” ด้วยการใช้ระเบียบของสภาเองที่มีแยกจากหน่วยงานอื่น โดยมีการโอนงบประมาณที่เหลือจากโครงการอื่นๆ มาใช้สำหรับจ้างผู้ออกแบบ 105 ล้านบาท ซึ่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็เคยออกมายอมรับว่า ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งมาไม่เคยมีการโอนงบจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
⚫การประกวดราคาโครงการออกแบบที่จอดรถงบประมาณ 105 ล้านบาท แม้มีการประกาศผู้ชนะการออกแบบไปแล้ว แต่ก็ต้องหยุดไว้เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าส่อทุจริต ที่อาคารขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท แต่มีการเปิดยื่นข้อเสนอแค่ 10 วัน กระบวนการมีความเร่งรัดผิดปกติ เอื้อต่อเอกชนบางรายเป็นพิเศษหรือไม่
⚫นอกจากนี้ ยังได้ข้อมูลมาว่ากลุ่มกิจการร่วมค้าที่ชนะการประกวด ยังเคยมีประวัติรับงานโครงการของรัฐแล้วมีปัญหาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นถูกยกเลิกสัญญาเพราะส่งมอบงานไม่ทันและบางโครงการก็ส่งมอบงานช้าไปหลายปีอีกด้วย
⚫นอกจากงบก่อสร้าง ยังมีงบประเภทอบรมสัมมนา ที่ควรจับตาดู เนื่องจากมักถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่า ตัวชี้วัดไม่ชัดเจน และมักถูกใช้เพื่อหาความนิยมส่วนตัว โดยใน “แผนยุทธศาสตร์พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตย” ที่ได้งบเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าในระยะเวลา 3 ปี (ปีงบ 2567 ได้ 135 ล้านบาท, ปีงบ 2568 ได้ 358 ล้านบาท, ปีงบ 2569 ได้ 864 ล้านบาท) มีโครงการประเภทอบรมสัมมนาอยู่จำนวนหลายร้อยล้านบาท
[ จะเอาให้ได้ “โครงการแจกเงิน” แม้ส่อขัดกฎหมาย ]
ในช่วงก่อนการจัดทำคำของบประมาณ 68 มีที่ปรึกษาผู้บริหารสภาท่านหนึ่งได้เขียนโครงการส่งให้เจ้าหน้าที่สภาฯ ว่าได้รับมอบหมายจากรองประธานสภาฯ คนหนึ่ง ให้ทำคำของบประมาณเพื่อทำโครงการ 4 โครงการ งบประมาณ 443 ล้านบาท โดยเขียนชัดเจนว่าเป็นโครงการเพื่อเอางบประมาณไปใช้แจกเป็น “ทุน” และ “งบประมาณสนับสนุน” ให้ประชาชนโดยตรง
ฝ่ายข้าราชการก็มีความหนักใจ สำนักนโยบายและแผนก็ได้มีการขอความเห็นไปยังสำนักต่างๆ ของสภา ทั้งสำนักกฎหมาย สำนักการคลังและงบประมาณ นำมาสู่ข้อสรุปว่า “การชงโครงการแจกเงิน” แบบนี้ไม่สามารถทำได้
❌ขัดรัฐธรรมนูญ
❌ขัดกฎหมาย
❌ขัดระเบียบต่างๆ มากมาย
❌กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจสภาในการทำโครงการประเภทแจกเงิน
❌การเขียนโครงการก็ผิดแบบฟอร์ม
แต่คนชงโครงการก็จะเอาให้ได้!
คณะที่ปรึกษารองประธานสภาที่ชงโครงการ จึงนำเอกสารกลับไปแก้ไขตามข้อเสนอแนะของสำนักนโยบายและแผนที่เสนอแนะให้ปรับโครงการแจกเงินมาเป็นโครงการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (ก็คือโครงการสัมมนา) และส่งกลับมาเป็นโครงการ 3 โครงการ ของบประมาณ 350 ล้านบาท บรรจุเข้าเป็นแผนในปี 2568 พอเข้าชั้น ครม. ถูกตัดเหลือ 83 ล้านบาท และมีการกดดันเพื่อขอแปรงบเพิ่มจนสุดท้ายได้มา 178 ล้านบาท
[ มองจากเชียงรายก็ดูออก ]
เมื่อได้งบประมาณมาแล้วก็มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแลทั้ง 3 โครงการ โดยตั้งตัวเองและเพื่อน สส. จากพรรคเดียวกัน ในจังหวัดเดียวกัน มาอยู่ในคณะกรรมการของโครงการ
จากเอกสารคำขอ เราได้พบกับข้อมูลว่าทั้ง 3 โครงการ มีคำขอโครงการมาจากผู้นำชุมชน โรงเรียน และกลุ่มสตรีแม่บ้าน จากจังหวัดเชียงรายมากเป็นพิเศษ เช่น
- ในคำขอโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนฯ มีคำขอ 50 โครงการ มาจากจังหวัดเชียงราย 28 โครงการ นับเป็น 57.1% ของโครงการทั้งหมด และเกินครึ่งหนึ่งของโครงการในจังหวัดเชียงราย คือ 15 โครงการ อยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งของรองประธานสภา
- ในคำขอโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนฯ มีคำขอ 85 โครงการ มาจากจังหวัดเชียงราย 75 โครงการ นับเป็น 88.2% ของโครงการทั้งหมด และ 51 โครงการอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งของรองประธานสภา
- ในคำขอโครงการส่งเสริมส่งเสริมบทบาทของสตรีฯ มีคำขอ 305 โครงการ มาจากจังหวัดเชียงราย 266 โครงการ นับเป็น 87.2% ของโครงการทั้งหมด และ 151 โครงการอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งของรองประธานสภา
[ ชงเอง โยกเอง ใครกิน? ]
นอกจากคำขอโครงการจะไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งบางพื้นที่อย่างน่าสงสัย ยังพบว่าเมื่อดูเอกสารที่ส่งเข้ามาอย่างละเอียด แทบทั้งหมดถูกพิมพ์ออกมาจากไฟล์เดียวกัน เหมือนกันทุกตัวอักษร เว้นช่องไว้ให้เขียนแค่ ชื่อ ที่อยู่ วันที่ และลายเซ็น โดยวันที่เขียนก็แทบจะเป็นวันเดียวกันหมด ลายมือเหมือนกัน ปากกาแบบเดียวกันอีกด้วย
เมื่อนำค่าเฉลี่ยของแต่ละโครงการมาคำนวณสัดส่วนกับงบประมาณที่ได้ โดยรวมแล้วเจ้าหน้าที่ของสำนักประธานสภาผู้แทนฯ ที่ต้องรับผิดชอบโครงการนี้ ต้องจัดงานสัมมนาประมาณ 1,300 งานใน 1 ปี หรือวันละเกือบ 4 งานโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งในความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดได้ครบกับงบประมาณที่ได้รับมา
แต่ในที่สุดเราก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากข้าราชการ ว่างบประมาณที่ขอมาจัดสัมมนานั้น ไม่ได้ตั้งใจจะนำมาจัดสัมมนาทั้งหมดตั้งแต่แรก เมื่อได้พบเอกสารว่ารองประธานสภาฯ คนเดิมมีดำริจะของบประมาณสำหรับโครงการฝึกอบรมกองเกียรติยศของตำรวจรัฐสภา ซึ่งต้องใช้งบ 3.5 แสนบาท แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่มีงบตั้งไว้แต่แรก จึงได้สั่งให้โยกงบโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนฯ ที่ตั้งไว้เป็นโครงการสัมมนา มาใช้แทน
การโยกงบแบบนี้เป็นวิธีการเดียวกันกับการโยกงบเหลือใช้อื่นๆ มาเป็นโครงการออกแบบอาคารที่จอดรถมูลค่า 105 ล้าน ที่อาศัยระเบียบของสภาฯ โดยไม่ต้องผ่าน ครม. และกระบวนการของบประมาณปกติ
เรายังพบเอกสารอีกหลายฉบับเพื่อขอโยกงบจากโครงการสัมมนาเหล่านี้เพื่อไปทำโครงการก่อสร้าง โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ของอาคารรัฐสภา โดยรองประธานสภาฯ คนเดิมได้แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของงบนี้
การที่รองประธานสภาฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารจากฝ่ายการเมือง แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของงบ จึงอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งภัณฑิลจะรวบรวมหลักฐานยื่นต่อ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
จากทั้งหมดที่กล่าวมา มองทางไหนก็บอกได้ว่าไม่ปกติ และตัวเลขเงินที่ใช้ก็ไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลย เมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนที่เป็นอยู่ในขณะนี้
รัฐสภาในฐานะสถาบันหลักที่ต้องตรวจสอบฝ่ายบริหาร ควรเป็นแบบอย่างในการบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้แนวคิดฐานศูนย์ ทำในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เน้นการใช้พื้นที่ที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เปิดพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนได้ใช้ และก่อนจะขอเงินไปใช้ในโครงการใหม่ ควรวางเงินในการบำรุงดูแลรักษาพื้นที่ที่มีอยู่ในระยะยาว จะดีกว่าหรือไม่?
แท็กที่เกี่ยวข้อง