เลือกตั้งและการเมือง
“กัณวีร์” ซัดรัฐบาลหยุดลวงโลก แก้ตัวแถลงส่งชาว “อุยกูร์” กลับจีน
โดย paranee_s
28 ก.พ. 2568
522 views
วันนี้ (28 ก.พ. 2568) นายกัณวีร์ สืบแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์เฟซบุ๊กแฉการส่งชาวอุยกูร์ กลับประเทศจีน ว่า หยุดโกหกและหลอกลวงคนทั้งโลกกับการออกมาแก้ตัวแถลงชี้แจงกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ขออนุญาตลากไส้ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้ (อยากอ่านสรุปเร็วข้างล่างนี้ ถ้าอยากเอารายละเอียดเชิญด้านล่าง)
1. เรื่องหลักการการส่งกลับที่เป็นไปตามสากล - สากลกี่โมง เริ่มด้วยนิยามผู้ลี้ภัยและการกลับประเทศต้นทาง
2. เรื่องการสมัครใจกลับ - สมัครใจกี่โมง ผมอยู่ในเหตุการณ์ที่สงขลาเมื่อ11ปีที่แล้ว ไม่มีใครอยากกลับ
3. เรื่องไม่มีประเทศที่ 3 ติดต่อรับ - เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตุรกีส่งเครื่องบินมาเตรียมรอ สุดท้ายตุกติกไม่ส่ง หลายๆ ประเทศก็รอรับ ก็ไม่ส่งไป
เอารายละเอียด+อรรถรส ด้านนี้ครับ
1. ที่บอกว่าเป็นไปตามขั้นตอนหลักสากล รู้จักหลักสากลที่ว่านี้จริงแค่ไหน ?? หลักการไม่ส่งกลับ (non-refouelment) มันต้องเริ่มจากนิยามผู้ลี้ภัย คือผู้ที่มีความหวาดกลัวอย่างประจักษ์ต่อการถูกประหัตประหาร ไม่สามารถอยู่และไม่อยากอยู่ที่ประเทศต้นกำเนิด ด้วยเหตุผลการกดขี่ด้วยเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ ความเห็นทางการเมือง หรือ การเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมที่ถูกตามล่า
ผู้ลี้ภัยจึงไม่มีความประสงค์จะกลับไปประเทศตันกำเนิด ดังนั้น จารีตประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ คือสิ่งที่ทุกประเทศเคารพและปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง จึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องพึงปฏิบัติตามโดยไม่ต้องลงนามแต่อย่างใด ดังนั้นเราจะไม่สามารถบังคับหรือผลักดันให้คนกลับไปตายได้
2. แถมโกหกอีกว่าสมัครใจกลับ!! ใครสมัครใจกลับ ?? ผมอยู่กับพวกเค้าตั้งแต่วันแรกที่ถูกพบในป่าที่รัตภูมิ จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2557 ผมยังจำได้ดีว่าผมต้องซื้อผ้าเช็ดตัวมาให้ชาวอุยกูร์ผู้ชายทุกคนที่ถูกกักอยู่ในหลายห้องกักของ สตม. เพื่อให้พวกเค้าคลุมหัว แล้วนอนคว่ำหน้า เมื่อกงสุลของจีนอยากเค้าพบพวกเค้า!!
แต่กฏของ ตม.ไทยคือหากผู้ต้องกักไม่อยากพบใครก็สามารถปฏิเสธการเข้าพบได้ แต่กงสุลจีนไม่สนเดินทะลึ่งเข้าไปในห้องกักหลายครั้ง ผมเลยตัดสินใจซื้อผ้าเช็ดตัวให้ทุกคนเพื่อปิดหน้าปิดตาเมื่อมีคนทะลึ่งเข้ามา
จนกระทั่งหากใครตามข่าวก็จะทราบว่าเมื่อเดือนที่แล้ว มกราคม 2568 ผู้ต้องกักอุยกูร์ทุกคนที่สวนพลูแจ้งว่าถูก จนท. สตม. มาสอบถามถึงความสมัครใจในการกลับจีนและเอาเอกสารบางอย่างมาให้ทุกคนเซน และจับถ่ายรูปทุกคน ผลก็คือมีการอดข้าวประท้วงกันประมาณครึ่งเดือน เพราะกังวลและเกรงกลัวว่าจะถูกผลักดันกลับจีน จนภาคประชาสังคมต้องเข้าไปพูดคุยด้วยว่าจะไม่มีการผลักดันกลับ ทุกคนจึงกลับมากินอาหาร
มันจะเปลี่ยนใจกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ตลกจัด!!
ไม่เรียนรู้เรื่อง 109 คนที่ถูกผลักดันกลับจีนเมื่อปี 2558 ถามจริงรู้หรือไม่ชะตากรรมพวกเค้าเป็นยังไง เคยขอติดตามไปดูชีวิตเค้าหลังการถูกผลักดันกลับหรือไม่ ไม่ใช่แค่ให้เลขา สมช.ไปดูแล้วยิ้มแย้มบอกว่าการันตีความปลอดภัยแล้วเดินทางกลับมา รูปที่เห็นวันนี้เลขา สมช.ยืนยิ้มไปดูคนถูกผลักดันกลับมันสะอิดสะเอียนเหมือนเคยเห็นมาเมื่อปี 2558 ไม่ผิดเพี้ยน
กล้าถามจีนมั้ยว่า 109 คน อยู่ที่ไหน ?? แล้วยังมีหน้ามาการันตีความปลอดภัย
นักการเมืองและรัฐบาลให้ข้าราชการอย่าง สมช. กต. และ สตม. มานั่งโกหกฝ่ายนิติบัญญัติว่าไม่มีนโยบายใดๆ ในการผลักดันกลับ สมช. ที่มาเข้าประชุม กมธ.กฏหมายฯ แจ้งที่ประชุมว่า “กลุ่มคนเหล่านี้อพยพออกมาจากประเทศต้นทางและไม่ขอกลับไปยังประเทศต้นทาง… “และไม่มีการเตรียมการใดๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งกลับ
แต่จับโป๊ะว่ามีการเตรียมการมาเป็นแรมเดือนอย่างระมัดระวังอย่างครอบคลุม แถมบอกว่าอย่าจินตนาการกันไป
ท่านนั่นแหละที่จินตนาการ จินตนาการว่าเค้าอยากกลับเอง ทั้ง ๆ ที่เค้าเดินทางข้ามน้ำข้ามแดนมาเป็นหลักพัน ๆ กิโลเพื่อหนีความตาย แล้วยังบอกว่าเค้าอยากกลับบ้าน จินตนาการว่าผมจินตนาการใส่ร้ายและมาพูดเรื่องการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ ขอบอกครับผมไม่จินตนาการ ผมมาจากข้อมูลและหลักฐาน ไม่ใช่คนอย่างพวกท่าน!!
3. หยุดโกหกบิดเบือนว่าตั้งแต่พบชาวอุยกูร์ในไทยเป็นเวลามากกว่า 10 ปี ไม่มีประเทศไหนมาขอรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่เลย หยุด ผมนี่แหละที่เป็นคนประสานกับรัฐบาลตุรกีเมื่อปี 2557 ผ่าน สอท.ตุรกีประจำประเทศไทยในการขอตั้งถิ่นฐานใหม่ในตุรกี และเค้าอำนวยความสะดวกว่าจะส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำ 2 ลำ จากแองคาร่าเมืองหลวงตุรกีมาไทยภายใน 24 ชม. หากแต่คำสัญญาในช่วง รบ.ยิ่งลักษณ์เปลี่ยนใจไม่ให้ส่งไปตุรกีตอนนั้น เค้าเลยติดชะงักอยู่ห้องกัก สตม.จนถูก รบ.แพรทองธารผลักดันกลับจีนในปี 2568
อย่ามโนว่าไม่มีคนอยากรับเค้า ยังมีมากกว่าตุรกีอีก 2 ประเทศที่ต้องการแต่รัฐบาลไม่เอา มันเป็นเพราะอะไร เพราะคำแนะนำของ สมช.งั้นมั้ย? ถ้าใช่ สมช.มีปัญหาหนักต้องปรับมันทั้งโครงสร้างตั้งแต่ เลขา สมช. ลงไป เพราะมันกลับถูกสร้างมาเป็นเครื่องมือรับใช้นักการเมืองมากกว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านความมั่นคง
แต่หากมันเป็นเพราะฝ่ายการเมือง แสดงว่ารัฐบาลไร้ความรู้ด้านนี้มาก แย่!! มาสร้างบาดแผลบนรอยมนุษยธรรมและความชั่วร้ายที่ถูกฝังอยู่กับไทยอย่างลบออกไม่ได้
ทำอะไรไม่โปร่งใส ไปตกลงกับสีจิ้นผิงไว้ว่าจะร่วมผลักดันผู้ลี้ภัยอุยกูร์กลับจีน อย่างนี้เค้าเรียกว่าการกดปราบข้ามชาติอย่างเปิดเผยและเป็นทางการ เน่าเฟะที่สุด ลาออกไปเถอะกับสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเถอะ ไม่เหมาะสม!!
ชีวิตคนนะที่คุณกำลังเล่นเกมส์อุบาทว์นี้อยู่ เดี๋ยวจะตามล้างให้หมดตั้งแต่ผู้นำรัฐบาล ยันคนโกหกระดับปฏิบัติการ
ต่อมา นายกัณวีร์ เปิดหลักฐานจดหมาย 3 ฉบับจาก 48 ชาวอุยกูร์ที่เคยเขียนจากห้องกัก ตม.สวนพลู เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ที่ไม่เคยได้เปล่งเสียงออกมาได้ แต่สุดท้ายรัฐไทยเปล่งเสียงแทนว่าพวกเขาอยากกลับจีนมากเพื่อไปเจอครอบครัวของเขา ทั้งๆ ที่ไม่เคยสมัครใจกลับไป
"จดหมายทั้งสามฉบับเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือขอความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ 11 ปี โดยยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน กลัวติดคุกและถูกฆ่าตายและส่งถึงนายกรัฐมนตรีไทย ใช้หัวอกความเป็นแม่และผู้หญิงช่วยให้ชาวอุยกูร์ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า จดหมายฉบับแรกมาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ทาง สตม.เก็บไว้และส่งคืนให้ผู้ต้องกักระหว่างอดอาหาร เมื่อเดือน ม.ค.2568 ที่แจ้งชัดเจนว่า “อย่าส่งเค้ากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเค้าไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้” จดหมายฉบับนี้ถูกดองและส่งคืน
จดหมายฉบับที่สองเป็นจดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูกๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น
"จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2567 ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมารวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน และต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่าครอบครัวของ 43 อุยกูร์นี้ถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี) เมื่อปี 2558 นะครับ ไม่ใช่อยู่ที่จีน"
นายกัณวีร์ เปิดเผยด้วยว่าจดหมายฉบับที่สามเขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลูขอความช่วยเหลือ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 -28 ม.ค.2568
"นี่คือเสียงจากผู้ที่ไม่มีเสียง (Voices of the Voiceless) ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และครอบครัวที่ถูกทำให้แยกกันเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะเอายังไงรัฐบาลไทย?? จะนั่งโต๊ะแถลงแบบหลอกลวงคนทั้งโลกว่าเค้าอยากกลับประเทศเองโดยสมัครใจอีกหรือไม่?? เค้าประท้วงโดยการอดอาหารตอนต้นปีนี้เพราะกลัวว่าจะถูกผลักดันกลับจีน!! ญาติเค้าที่อยู่ตุรกีขอให้ใช้หลักการรวมครอบครัวไปที่ตุรกี แล้วบอกนายกฯ เราขอให้เอาใจท่านมาใส่ใจเค้าในฐานะลูกสาวที่พ่อเพิ่งกลับมารวมครอบครัวจากการลี้ภัยในต่างประเทศ เอ้าจะว่าไง"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ บินไปจีนไปร่วมสร้างภาพกับการโกหกหลอกลวงจากนักการเมืองที่อ้างหลักสิทธิมนุษยชนผิดๆ บิดเบี้ยวนี้
"ท่านไปทำทำไม ผมเสียใจอย่างแท้จริงกับการจัดฉากหลอกลวงระดับโลกนี้ แถม ผบ.ตร.มาอ้างว่าเค้าอยากกลับบ้านไปรวมครอบครัวมันคืออะไร?? ไอ้การที่ ผบ.ตร.ไม่รู้วิธีการแก้ไขแบบยั่งยืนด้านผู้ลี้ภัยผมไม่ติดนะเพราะคงไม่รู้จริงๆ แต่อย่าเสนอสิ่งที่จะทำให้สังคมตระหนักรู้ที่ผิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยบอกว่าเราเสียภาษีเลี้ยงดูเค้ามาอย่างยาวนาน ทำไมต้องดูแลและเค้าอยากกลับบ้าน โถ่!! เพราะจริงๆ มีมากกว่า 1 ประเทศอยากรับมาอย่างยาวนาน แต่รัฐไทยไม่ให้"
นายกัณวีร์ กล่าวด้วยว่า รัฐไทยต้องหยุดบิดเบือนการกระทำผิด ทำงานลับๆ ล่อๆ ทำอย่างกับขบวนการนำพา (Human Smuggling) ทำเป็นไม่บอกไม่กล่าว ทำให้เสร็จก่อนแล้วให้จีนแถลงก่อน หากท่านโปร่งใสและกล้าหาญจริงและบอกว่าตัวเองทำชอบธรรมแล้ว ทำไมไม่ประกาศตั้งแต่แรกที่มีการตกลงกับสีจิ้นผิง แล้วแจ้งให้สาธารณะทราบ ที่สำคัญที่สุด ไม่แจ้งให้ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ทราบว่ามีกระบวนการอะไร เค้าเต็มใจหรือไม่ และให้เค้าบอกเองว่าเค้าอยากกลับไปจีนเอง
"หยุดการแก้ตัวที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและเสนอเหตุผลยอดแย่ ต้องยอมรับความจริง"
แท็กที่เกี่ยวข้อง