นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐบาลเมียนมาตอบโต้กลับรัฐบาลไทย ปิดด่านชายแดน บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 (ด่านพรมแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก) โดยปฏิเสธไม่ให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต ข้ามแดนมายังประเทศไทย ว่า ไม่น่าจะมีการตอบโต้ เพราะการดำเนินมาตรการนี้ ได้พูดคุยกับรัฐบาลเมียนมาก่อนแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดคุยแค่คืนวันนั้น
และภายหลังมีมติจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานไปยังทางการเมียนมา เช่นเดียวกันกับฝ่ายทหาร ก็ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของทางการเมียนมา
นายภูมิธรรม ยืนยันว่า การเข้าออกบริเวณด่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก) ยังเข้าออกได้ตามปกติ แต่ต้องมีการควบคุมสินค้าที่เป็นสิ่งของต้องห้าม เช่น วันนี้ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ยังสามารถเข้ามาเติมน้ำมันในประเทศไทยได้ ซึ่งเรายังอะลุ่มอล่วย เพื่อไม่ให้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ขณะที่โรงพยาบาลเมียวดี ก็ได้ประสานไปว่า หากมีผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่ต้องการความช่วยเหลือ โรงพยาบาลแม่สอดก็พร้อมที่จะรับมาดูแลรักษา
เมื่อถามย้ำว่า ประชาชนยังสามารถข้ามด่านดังกล่าวไปมาได้ปกติหรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ยังข้ามไปได้ไม่มีปัญหา แต่อยู่ภายใต้การตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น
เมื่อถามว่าการออกมาตรการตัดไฟฟ้า ซึ่งระบุว่าได้พูดคุยกับรัฐบาลเมียนมาก่อน ทางการเมียนมาติดใจอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า ได้แจ้งให้ทราบ แต่ทั้งสองฝ่ายต้องเคารพอำนาจอธิปไตย ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ได้เข้าไปในประเทศเขา เพียงแต่เป็นการตัดไฟฟ้า และดูกฎหมายธุรกิจที่เป็นข้อห้าม ซึ่งข้อสัญญาที่ตกลงกันก็ได้เขียนไว้แล้วว่า หากเป็นภัยความมั่นคง ก็สามารถงดจ่าย หรือตัดไฟฟ้าได้เลย
ส่วนมาตรการดังกล่าวจะยาวนานหรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า ขึ้นอยู่กับผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเราต้องการกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเบื้องต้นวางกรอบเวลาไว้ประมาณ 6 เดือน และดูว่าช่วงไตรมาสแรกจะเป็นอย่างไร ซึ่งยังต้องดูผลกระทบ และตัดสินใจ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มนุษยธรรม และความปลอดภัยของประชาชนด้วย ซึ่งการจะผ่อนคลายทุกอย่าง ก็ต้องตอบโจทย์
เมื่อถามว่ามาตรการนี้วางกรอบเวลาไว้ประมาณ 6 เดือน หรือ 1 ไตรมาส แต่ทางฝั่งเมียนมาก็มีความต้องการใช้ไฟฟ้านั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า อย่าไปเป็นห่วงเขามาก ซึ่งเป็นเรื่องที่เมียนมา ต้องไปกดดันให้เอาขบวนการคอลเซ็นเตอร์ออกไป เพราะเป้าหมายของเราชัดเจน หากเขาอยากสบายขึ้น ก็ต้องรีบดำเนินการ
เมื่อถามว่า หากเมียนมาแก้ไขปัญหานี้ด้วยการปิดด่านชายแดน จากกระทบเศรษฐกิจหรือไม่ นายภูมิธรรม ถามกลับว่า การปิดด่านดังกล่าวไม่รู้ว่าจะกระทบใคร เพราะอาหารการกินทั้งหมดต้องผ่านจากฝั่งเราไป หากเขาปิดแสดงว่า เขาเตรียมตัวที่จะล็อกตัวเอง ให้อยู่กับความอดอยาก
เมื่อถามย้ำว่า การปิดด่านไม่น่าจะเกิดขึ้นใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งตอบแทนเขาไม่ได้ แต่คิดว่า หากปิดจริง เขาจะลำบากกว่าเรา
ขณะที่เกณฑ์ในการวัดผลสัมฤทธิ์ ในการพิจารณา ขยาย หรือไม่ขยายมาตรการ นายภูมิธรรม ระบุว่า ต้องทำให้เห็นว่าขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ต้องมีกระบวนการที่ลดลง และดูการข่าวว่า มีการเคลื่อนย้าย หรือเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง หากยังอยู่ก็จะต้องดำเนินมาตรการต่อไป เพราะภารกิจนี้เป็นภารกิจของประเทศ และของโลก ดังนั้นต้องดำเนินการ และเนื้อสิ่งอื่นใดคือคนในประเทศไทยเราต้องปลอดภัย
ส่วนได้ประเมินหรือไม่ว่าขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ที่มีสายป่านยาวแค่ไหน นายภูมิธรรม ระบุว่า ไม่ได้ประเมิน เดี๋ยวดูว่าจะทำได้ หรือไม่ได้แค่ไหน ซึ่งขณะนี้มีการเกี่ยวพันกับเครือข่ายต่าง ๆ สายป่านจะยาวหรือไม่ ตนไม่รู้ พร้อมย้ำว่า เราสามารถแก้ไขปัญหาตามทัน ไม่ต้องห่วง หลายอย่างมาพูดทางสื่อไม่สามารถพูดได้
ขณะที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยว่า เนื่องจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเมียนมา ด่านท่าขี้เหล็ก ไม่มีไฟฟ้าใช้สำหรับดำเนินการเรื่อง พาสปอร์ตในการเข้า-ออก หลังรัฐบาลไทยออกมาตราการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตและน้ำมัน เมื่อวัน 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงไม่สามารถให้บริการคนทั้ง 2 ประเทศเดินทางข้ามไปมาได้
"ยืนยันว่าไม่ได้ปิดด่าน แต่มีเหตุจำเป็นเรื่องไฟฟ้าไม่สามารถให้บริการได้ เพราะการปิดด่านต้องมีหนังสือจากฝั่งเมียนมาแจ้งมาทางการไทย แต่กรณีนี้ไม่มี" แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุและย้ำว่า
สำหรับประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนทั้งสองฝ่าย ยังสามารถค้าขายสินค้าร่วมกันได้ ยกเว้นสินค้าต้องห้ามตามมาตการของรัฐบาลไทย