วันนี้ (31 ม.ค.) ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.468/2566 ที่นายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา เป็นโจทก์ฟ้องนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวนเงิน 100 ล้านบาท จากกรณีที่นายรังสิมันต์ได้อภิปรายทั่วไปพาดพิงถึงนายอุปกิตว่าเป็น สว.ทรงเอ พาดพิงเป็นไทยดำ-จีนเทา ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทนายอุปกิตให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ได้รับความเสียหาย
โดยเมื่อเวลาประมาณ 8.50 น. นายรังสิมันต์ โรม ได้เดินทางมาถึงศาลอาญา พร้อมให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับฟังคําพิพากษาว่า ตนไม่มีความกังวลใด ๆ ตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนตัวยืนยันว่าเป็นการทําหน้าที่ในฐานะ สส.ฝ่ายค้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นการอภิปรายสําคัญในสภาเกี่ยวกับการตรวจสอบรัฐบาลที่จะมีเครือข่ายเข้าไปผัวพันกัน
ยืนยันว่า ตนไม่ได้ทําข้อมูลโดยจินตนาการไปเอง แต่ทุกสิ่งอย่างมีพยานหลักฐานรองรับและถือเป็นปกติที่ตนในฐานะนักการเมืองจะต้องสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ออกไปให้สังคมหรือประชาชนรับรู้และขอยืนยันด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่จะขจัดสิ่งไม่ดีและมุ่งหมายให้สังคมมีการพัฒนาดีขึ้นและคิดว่าที่ผ่านมาหลายอย่างได้ถูกพิสูจน์แล้ว
เมื่อถามว่ามั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นายรังสิมันต์ โรม ระบุว่า เท่าที่ดูจากการสืบพยานในชั้นศาล ตนได้ยืนยันพยานหลักฐานและข้อมูลต่าง ๆ ทําให้มั่นใจว่า ผลน่าจะออกมาเป็นคุณกับตนเอง กอปรกับก่อนหน้านี้ก็เคยมีคําพิพากษาในคดีแพ่ง ซึ่งศาลก็พิพากษาเป็นคุณกับตนเองเช่นกัน แต่สิ่งที่สําคัญไปกว่านั้นคือ ตนเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ตนแค่อยากให้สังคมดีขึ้น ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ยาเสพติด หรือมีนักการเมืองไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยมิชอบ
นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ โรม เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ตนคิดว่าพรรคประชาชนทำงานเต็มที่และนำเสนอขายหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของนโยบาย ซึ่งต้องบอกว่าพรรคประชาชนมีส่วนที่ทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้คึกคักอย่างแน่นอน
โดยหวังว่าจะได้รับโอกาสจากประชาชนให้เป็นตัวแทนของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นระดับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) จนถึงระดับ นายก อบจ. เพื่อที่จะได้เปลี่ยนเงินงบประมาณของประชาชนอันช่วยพัฒนาให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ซึ่งหลายพื้นที่มีเงินงบประมาณเยอะมาก เพราะฉะนั้น ประชาชนควรที่จะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่านี้ ดังนั้นจึงหวังโอกาสตรงนี้ที่จะทำงานเพื่อประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของจำนวน ส.อบจ. และนายก อบจ. จะได้เท่าไหร่นั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า เดี๋ยวรอดูซึ่งพรุ่งนี้ก็จะได้ทราบ แต่ว่าเราเองก็ยืนยันว่า เราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และมั่นใจว่า หากประชาชนได้เลือกพรรคประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ต่อมาเวลาประมาณ 09.25 น. นายรังสิมันต์ได้ลงมาบริเวณหน้าศาลอาญาก่อนกล่าวว่า สำหรับคำพิพากษาของศาลวันนี้ถือเป็นข่าวดีของตน ก็คือศาลยกฟ้องและยืนยันตามข้อพิพาทของศาลว่า ข้อเท็จจริงของตนที่ยื่นไปนั้นเป็นไปตามสำนวน ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เราทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลและจบไปอีกหนึ่งคดี แต่ก็ต้องไปดูต่อว่า ทางโจทก์จะมีการอุทธรณ์ต่อหรือไม่ แต่เหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้อง ยืนยันว่าข้อเท็จจริงที่มีการสืบในศาล สอดคล้องกับข้อมูลข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ ส่วนรายละเอียดของการยกฟ้อง เดี๋ยวก็คงจะได้เห็นจากเอกสารตัวจริงของศาล
เมื่อถามว่า จะมีการดำเนินคดีเอาคืนกลับทางด้านของอดีต สว.อุปกิต หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ระบุว่า ตนยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น คงจะเร็วไปที่จะคิดถึงจุดนั้น แต่เบื้องต้นยังเหลืออีกคดีหนึ่งที่มีการพิจารณาในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ก็ต้องรอดูว่าคดีนั้นจะเป็นอย่างไร
ส่วนจะไปดำเนินคดีการอย่างไรต่อจากนี้ ตนมองว่าคดียังไม่สิ้นสุด และยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะตอนนี้ตนอยากที่จะให้ความสำคัญในเรื่องปัญหาของพี่น้องประชาชนมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ตนตามติดในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาก อีกทั้งต้องขอร้องให้สื่อมวลชนช่วยกันติดตามเรื่องนี้อย่าให้เงียบเหมือนกับอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นปัญหาของสังคมไทยได้รับการแก้ไขเสียที
อย่างไรก็ตาม การรับฟังคำพิพากษาในวันนี้นั้น อดีต สว.อุปกิต ฝ่ายโจทก์ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด เนื่องจากติดภารกิจ จึงได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ฟังคำพิพากษาแทน