เลือกตั้งและการเมือง

ราชทัณฑ์ ร่ายยาว แจงพักโทษ “บุญทรง-เสี่ยเปี๋ยง” ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ใช้ดุลพินิจส่วนตัว

โดย kanyapak_w

6 ธ.ค. 2567

78 views

ราชทัณฑ์ ร่ายยาวพักโทษ “บุญทรง-เสี่ยเปี๋ยง” ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ใช้ดุลพินิจส่วนตัว และไม่เกี่ยวรัฐบาลเพื่อไทย แต่ช่วงเวลามาประจวบเหมาะกับเงื่อนไข เผยยังมีผู้ต้องหาคดีรับจำนำข้าว อยู่ในเรือนจำอีก 2 ราย



นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทีมผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีการปล่อยตัว พักการลงโทษของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" ซึ่งถูกจำคุกในคดีร่วมกันทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โครงการรับจำนำข้าว” เมื่อปี 2558 หลังก่อนหน้านี้ นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นร้องเรียนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงการปล่อยตัวพักโทษดังกล่าวด้วยตัวเองแทนการออกเอกสาร



นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลักการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์หลังจากที่ศาลได้พิพากษาแล้วนั้น ไม่ได้อยู่เหนืออำนาจกฎหมาย หรืออยู่เหนืออำนาจศาล แต่ทุกอย่างดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการพักโทษมี 2 กรณี คือ พักโทษกรณีปกติ และพักโทษกรณีพิเศษ รวมเฉลี่ยแต่ละปีมีการพักโทษให้ผู้ต้องขังมากกว่า 20,000 ราย แต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจากจะขัดต่อหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ในกรณีบุคคลที่มีชื่อเสียงนั้น ทางสื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าว ทำให้การพักโทษของบุคคลที่มีชื่อเสียงปรากฏต่อสาธารณะ



ย้ำว่า การพักโทษนั้น ไม่ใช่การพ้นโทษ ผู้ได้รับการพักโทษยังคงอยู่ระหว่างการต้องโทษ แต่กฎหมายต้องการให้ผู้ถูกคุมขังมีโอกาสใช้ชีวิต เพื่อปรับตัวเข้าสู่ในสังคม โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา รวมถึงกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในการพักโทษ เช่น ต้องมารายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติ เป็นต้น แต่หากผู้ได้รับการพักโทษไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ก็จะต้องกลับสู่สถานที่คุมขัง ซึ่งในแต่ละปีมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข จนต้องกลับสู่สถานที่คุมขังเฉลี่ย 5%



โดยในส่วนของนายบุญทรงนั้น ได้รับการพักโทษกรณีปกติ หลังได้รับการอภัยโทษรวม 4 ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเหลือโทษจำคุก 10 ปี 8 เดือน แต่นายบุญทรงได้จำคุกมาแล้วเป็นเวลา 7 ปี 3 เดือน 10 วัน หรือรับโทษมาแล้ว 2 ใน 3 ทำให้เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ



สำหรับการได้รับอภัยโทษนั้น ไม่ใช่อำนาจของกรมราชทัณฑ์หรือกระทรวงยุติธรรม แต่เป็นพระราชอำนาจเฉพาะ โดยนักโทษสามารถยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ตามขั้นตอน ก่อนจะนำเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทูลเกล้าฯ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจที่ไม่อาจก้าวล่วงได้



ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ต้องหาคดีรับจำนำข้าว ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยนั้น นายสมบูรณ์ บอกว่า เป็นเรื่องช่วงเวลาที่เข้าเงื่อนไขการพักโทษพอดี ไม่ใช่เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ อย่างกรณี ของนายบุญทรงที่รับโทษมาแล้ว 2 ใน 3 ก็มาครบในสมัยรัฐบาลนี้พอดี



ด้านนายสมบูรณ์ ศิลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม บอกว่า ในส่วนกรณีของเสี่ยเปี๋ยงนั้น จัดเป็นผู้ป่วยกลุ่ม 608 หรือมีอาการเจ็บป่วย 8 โรคร้ายแรง ได้แก่ โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย / โรคความดันโลหิตสูง / โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับชนิดรุนแรง / โรคต่อมลูกหมากโต / โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท / โรคฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ / โรคเบาหวาน / และโรคหลอดเลือดสมองตีบ



ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่า โรคเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเสียชีวิตสูง หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเข้าเกณฑ์ได้รับพักโทษเป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งยังรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3



หลังได้รับอภัยโทษมา 4 ครั้ง เหลือโทษ 21 ปี 11 เดือน 38 วัน จึงมีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการเรือนจำฯ ซึ่งที่ประชุมมีมติ 8 ต่อ 0 เห็นว่า เสี่ยเปี๋ยงควรได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษจากการเจ็บป่วยร้ายแรง ก่อนจะส่งต่อให้คณะอนุกรรมการของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีทั้งหมด 19 คน เป็นบุคคลทั้งจากกรมราชทัณฑ์ ตำรวจ ศาล และกรมควบคุมความประพฤติ เป็นผู้พิจารณาต่อไป



นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการรักษาของทีมแพทย์โรงพยาบาลราชทันฑ์ พบว่า เสี่ยเปี๋ยงมีอาการผิดปกติมาตั้งแต่ปี 2565 โดยจากการตรวจเลือดและตรวจร่างกาย พบมีภาวะตัวบวม ปัสสาวะน้อย ไตทำงานผิดปกติ และอาการทรุดลงเรื่อยๆ



จนแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีความเห็นว่าควรย้ายเสี่ยเปี๋ยงไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพมากกว่า คือ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งได้รับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางโรคไต ที่ลงความเห็นว่าเสี่ยเปี่ยงมีอาการไตเสื่อมระยะสุดท้าย ต้องได้รับการฟอกไต ต่อมาก็ยังมีอาการติดเชื้อเป็นระยะ ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีต่อเนื่อง และทำการฟอกไตที่เรือนจำทุกวัน จนเมื่อปลายปี 2566 แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี พิจารณาให้เสี่ยเปี๋ยงเข้ารับการปลูกถ่ายไต ที่โรงพยาบาลพระราม 9 หลังจากนั้นก็ต้องรับยากดภูมิต่อเนื่อง



นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตอยู่ 120 ราย แต่เป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 15 ราย ซึ่งกลุ่มนี้ หากได้รับโทษครบ 1 ใน 3 ก็มีโอกาสได้รับการพิจารณาพักโทษเช่นกัน



ทั้งนี้ การพิจารณาให้ผู้ต้องขังได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษในชุดของเสี่ยเปี๋ยง มีผู้ต้องขังอีก 2 รายที่เข้าสู่การพิจารณาเช่นกัน คือ เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย 1 ราย และตาบอด 1 ราย แต่คณะอนุกรรมการของกรมราชทัณฑ์ เห็นชอบให้พักโทษเฉพาะโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย กับโรคมะเร็งเท่านั้น เพราะผู้ต้องขังที่ตาบอดกระทำผิดที่ขัดต่อศีลธรรมของสังคม ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นถึงอิสระของคณะกรรมการแต่ละชุด



ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายวัชระ ได้ลุกขึ้นถามคำถามทีมผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ถึงกรณีการพักโทษนายบุญทรง และเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเป็นนักโทษคดีทุจริตสร้างความเสียหายให้แก่รัฐกว่า 9 แสนล้านบาท ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามคำพิพากษาศาลแล้วหรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกจำคุก ก่อนจะที่เข้ารักษาอาการเจ็บป่วยที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ได้มีการส่งเอกสาร โดยเฉพาะเวชระเบียนให้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ครบถ้วนแล้วหรือไม่ ซึ่งนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว ได้ชี้แจงว่า การส่งมอบเวชระเบียนนั้น เป็นสิทธิของคนไข้ที่จะให้หรือไม่ก็ได้ หากไม่ให้ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์นำเวชระเบียบที่เป็นความลับในการรักษาไปมอบให้ ป.ป.ช. เพราะมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถส่งเวชระเบียนให้ ป.ป.ช. ได้ เพราะคนไข้ไม่อนุญาต และยืนยันว่า การดำเนินการพักโทษนั้น ดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ไม่ได้ใช้ดุลพินิจส่วนตัว



ส่วนการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐนั้น ทางผู้บัญชาการเรือนจำคลองเปรม บอกว่า ได้มีการนำเสนอในคณะอนุกรรมการพักโทษให้พิจารณา แต่ชดใช้แล้วหรือไม่นั้น ไม่มีใครเห็นข้อมูล เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ง. ในการอายัดและยึดทรัพย์สินให้เป็นของแผ่นดิน ซึ่งดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่คงเหลืออีกเท่าไรนั้น ไม่ทราบ และขณะนี้ยังคงมีผู้ต้องขังในคดีจำนำข้าวอีก 2 รายที่เป็นข้าราชการระดับสูง และยังอยู่ระหว่างการได้รับโทษต้องขัง เนื่องจากต้องโทษจำคุกสูงและไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย

คุณอาจสนใจ

Related News