เลือกตั้งและการเมือง

มติสภาสูงเลือก 14 คนนั่ง กมธ.ร่วม พ.ร.บ.ประชามติ ‘นันทนา’ ปะทะเดือด ‘พิสิษฐ์’ ปม ปชต.-เผด็จการ

โดย petchpawee_k

22 ต.ค. 2567

24 views

มติสภาสูง เลือก 14 คนนั่ง กมธ.ร่วม 2 สภาฯ พิจารณา พ.ร.บ.ประชามติ

เมื่อวานนี้ (21 ต.ค.67)  ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาตั้งกรรมาธิการ(กมธ.)ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... จำนวน 14 คน  เนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับที่...พ.ศ....และได้กำหนดจำนวนบุคคลที่จะประกอบเป็นคณะกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว สภาละ 14 คน  คือ วุฒิสภา 14 คน และสภาผู้แทนราษฎร 14 คน เพื่อเป็นคณะกรรมการร่วมกันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 137 (3)


จากนั้นที่ประชุมวุฒิสภา เปิดให้สมาชิกเสนอชื่อบุคคล 14 คน  เพื่อไปเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาเสนอรายชื่อกรรมาธิการต่อที่ประชุมเกินกว่าที่กำหนด คือ 16 คน  จึงจะต้องมีการลงคะแนนเพื่อเลือกบุคคลไปเป็นกรรมาธิการ 14 คน พลเอกเกรียงไกร จึงได้อธิบายถึงวิธีการลงคะแนน  โดยสมาชิกวุฒิสภา 1 คน ให้เลือกกรรมาธิการ 14 คน


ก่อนการลงคะแนน นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. เสนอญัตติงดเว้นข้อบังคับการประชุม เรื่องการให้สมาชิกออกเสียงลงคะแนนโดยเลือกบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเท่ากับคณะกรรมาธิการที่จะเลือก  เพื่อให้ สว. 1 คนเลือกกรรมการได้ 1 คน  เพื่อสะท้อนเสียงของ สว.อย่างแท้จริง


เมื่อเปิดให้ลงมติในญัตติของนายเทวฤทธิ์  ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบให้งดเว้นข้อบังคับการประชุมตามที่นายเทวฤทธิ์เสนอ  ดังนั้นจึงเป็นการเลือกกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับที่...พ.ศ....14 คน  ตามวิธีการที่ประธานการประชุมได้แจ้งไปแล้ว  โดยให้สมาชิกทำเครื่องหมายกากบาทหน้ารายชื่อเพียง 14 คนเท่านั้น  และลงชื่อ  รวมทั้งขอให้สมาชิกระมัดระวังในการลงคะแนน เนื่องจากเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย


สุดท้ายที่ประชุมได้ชื่อผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด 14 คน เป็นกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ประกอบด้วย

1.พลตำรวจโท บุญจันทร์ นวลสาย​ ได้ 149 คะแนน

2.นายธวัช สุระบาล ได้ 151 คะแนน

3.พันตำรวจเอก กอบ อัจนากิตติ​ ได้ 146 คะแนน

4.นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ได้ 155 คะแนน

5.นายนิเวศ พันธ์เจริญวรกุล​ ได้ 146 คะแนน

6.นายอภิชาติ งามกมล ได้ 148 คะแนน

7.นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล​ ได้ 144 คะแนน

8.พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ แสงเพชร ได้ 151 คะแนน

9.นายกมล รอดคล้าย​ ได้ 151 คะแนน

10.นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ได้ 151 คะแนน

11.นายเอนก วีระพจนานันท์ ได้ 144 คะแนน

12.นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ได้ 149 คะแนน

13.นายพิชาญ พรศิริประทาน​ ได้ 143 คะแนน

14.นายสิทธิกร ธงยศ ได้ 139 คะแนน


ส่วน สว. 2 คน ที่ไม่ได้รับเลือกจากที่ประชุม คือ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ได้ 27 คะแนน และ นายประภาส ปิ่นตบแต่ง ได้ 25 คะแนน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเสนอรายชื่อ 14 คนแล้ว มีสว.เสียงข้างน้อยหลายคนอภิปรายคัดค้าน อาทิ นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส นางอังคณา นีละไพจิตร เป็นต้น โดยระบุว่าจำนวน 14 คน เป็นสว.ที่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์โหวตแบบเสียงข้างมาก 2 ชั้น ซึ่งไม่เป็นการคำนวนถึงตัวแทนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์โหวตดังกล่าว จึงขออย่าได้ละเลยเสียงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


น.ส.นันทนา กล่าวว่า ตนมาทราบภายหลังว่าในรายชื่อ 14 คนนั้นมาจากที่ประชุมวิปวุฒิสภาที่ได้กำหนดมา ซึ่งถือเป็นเสียงข้างมาก ไม่มีเสียงข้างน้อยที่ได้แสดงความคิดเห็นไว้ หมายความว่ากมธ.ร่วมกันฝั่งวุฒิสภาไม่เห็นความสำคัญของสัดส่วนวุฒิสภา และไม่เห็นความสำคัญของเสียงข้างน้อยเลย และเชื่อว่าประชาชนที่นั่งฟังการอภิปรายอยู่นั้นกำลังตั้งข้อสงสัยว่าวุฒิสภาแห่งนี้เป็นวุฒิสภาของใคร ไม่ใช่วุฒิสภาของประชาชนหรือ ทุกครั้งที่ลงมติเสียงข้างมากจะชนะทั้งหมด ในหลักประชาธิปไตยเราทำตามเสียงข้างมากแต่ก็เคารพเสียงข้างน้อย ฉะนั้น ในการตั้งกมธ.รวมครั้งนี้ควรเป็นสัดส่วนของเสียงมากและเสียงข้างน้อย สุดท้ายเมื่อตั้งกมธ.ในสัดส่วน 14 ต่อ 14 แล้วลงมติออกมาเป็นเช่นไรก็อธิบายต่อประชาชนได้ว่านี่เป็นสัดส่วนที่มีทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ไม่ใช่สัดส่วนที่มาจากเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว

"ที่ท่านพูดว่าประชามติต้องทำให้รัดกุม ท่านพูดจริงๆ หรือแค่ต้องการเอาชนะ แล้วยืดเวลาออกไป หากท่านเห็นความสำคัญของประชาธิปไตยจริง ท่านต้องให้ทุกฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น และสะท้อนออกมาผ่านกมธ.สุดนี้ที่ควรมีทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย เพื่อเข้าไปอภิปรายแสดงความคิดเห็นว่าเราควรทำประชามติชั้นเดียว แต่หากเสียงข้างมากบอกว่าต้องการทำประชามติสองชั้น ก็ให้อภิปรายเหตุผลมา ประชาชนรอฟังอยู่ ดิฉันไม่อยากให้วุฒิสภาถูกนินทาว่ารวบรัดตัดตอน เป็นสภาที่มีใบสั่ง จึงขอวิงวอนให้สมาชิกทุกคนเห็นแก่ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาชุดใหม่ที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่ว่าสภาแห่งนี้เป็นสภาของประชาธิปไตย จึงควรให้มีกมธ.เสียงข้างน้อยที่จะเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ขอให้ท่านลงมติด้วยความเป็นตัวของตัวเอง และเคารพเสียงของประชาชน ทำให้ภาพลักษณ์ของสภาบิดเบี้ยว ไม่ทำให้ประชาชนไม่ขาดศรัทธากับวุฒิสภา" น.ส.นันทนา กล่าว


ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. กล่าวว่า อยากให้ทำความเข้าใจตรงนี้ว่า การที่วุฒิสภาต้องเสนอชื่อบุคคลเป็นกมธ.ร่วมกันโดยผ่านวิปวุฒิสภานั้น ต้องคำนวณถึงสัดส่วนของผู้แทนของเจ้าของเรื่อง กมธ.เสียงข้างมาก กมธ.เสียงน้างน้อยที่สงวนความเห็นและสมาชิกที่แปรญัตติซึ่งเป็นผลการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.ของ สส.เท่านั้น ไม่ได้รวมผู้เห็นชอบกับ สส. ฉะนั้น คนที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเป็นกมธ.นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น


ทำให้น.ส.นันทนา ลุกขึ้นโต้ว่า การที่จะตั้งกมธ.โดยไม่มีสัดส่วนนั้น ตนคิดว่านายพิสิษฐ์เข้าใจผิด ในกลไกระบอบประชาธิปไตยเรามีทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย แต่เราจะทำตามมติเสียงข้างมากโดยยังเคารพเสียงข้างน้อย เมื่อไหร่ที่บอกว่าไม่ต้องมีสัดส่วนมีแต่พวกของเราเท่านั้น นั่นคือระบอบเผด็จการไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้เข้าใจใหม่ และท่านเป็นสว.ที่อยู่ในกลไกระบอบประชาธิปไตย แต่ท่านปฏิเสธในการให้มีสัดส่วนของคนคิดต่างเข้ามา แปลว่าท่านกำลังยืดหลักเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง

นายพิสิษฐ์ ใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ตนไม่ได้มีความคิดเป็นเผด็จการ และเชื่อว่าสภาแห่งนี้ไม่ได้มีพรรค มีพวก ในสภาแห่งนี้ตนเคารพสิทธิ์ของทุกคน ที่ตนพูดเมื่อสักครู่นั้นเป็นความจริง และการจะเป็นกมธ.นั้นตนมองว่าต้องเป็นคนที่เห็นต่างจาก สส.


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/jAirIGD6af0


คุณอาจสนใจ

Related News