เลือกตั้งและการเมือง

‘ธีรยุทธ’ ยื่นศาล รธน.ฟัน ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ล้มล้างฯ - ‘โรม’ ไม่เห็นด้วย ใช้นิติสงคราม ยุบพรรคการเมือง

โดย petchpawee_k

11 ต.ค. 2567

73 views

"ธีรยุทธ" หอบเอกสาร 5,080  แผ่น ร้องศาลรัฐธรรมนูญ 6 กรณี ชี้ "ทักษิณ-เพื่อไทย" มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง เหตุขออภัยโทษแล้ว อยู่ชั้น 14 ไม่ยอมติดคุก แถมครองงำ ครอบครอง สั่งการพรรคเพื่อไทย ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดิน - สมคบ"ฮุนเซน" แบ่งผลประโยชน์เกาะกูด พร้อมยืนยัน ทำคนเดียว ไม่มีเบื้องหลัง แค่ปรึกษา"ไพบูลย์" เรื่องข้อกฎหมายบางประเด็น แต่ไม่ได้รับงาน ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่เคยเจอ"ลุงป้อม"

วานนี้  10 ต.ค. 2567 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้องในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยมีพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องทั้งสองแบ่งได้เป็น 6 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1. ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว

กรณีที่ 2. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ซึ่งมีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

กรณีที่ 3. ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง (พรรคก้าวไกลเดิม) ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ 1 และพวก

กรณีที่ 4. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

กรณีที่ 5. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยผู้ถูกร้องที่ 2 ยินยอมกระทำการตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการ

กรณีที่ 6. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567

ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยว่า ทั้ง 6 กรณีผู้ถูกร้องทั้งสองได้มีการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมือง หรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และผู้ถูกร้องทั้งสองมีการกระทำอันมีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลายระบบพรรคการเมือง ที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง การกระทำดังกล่าวทั้งสองประการ เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด

เมื่อถามว่าคาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยยุบพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่เคยยื่นยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า คาดหวังตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ ให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดสั่งการ ส่วนจะสั่งการหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล

ส่วนการยื่นเรื่องนี้ ได้ไปปรึกษากับนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เพราะนายไพบูลย์ เป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้และแจ้งหมายต่อผู้สื่อข่าว นายธีรยุทธ กล่าวว่า สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดี นายเศรษฐา ทวีสิน ศาลรัฐธรรมนูญย้ำมาโดยตลอดในคำวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้อง ชัดตามที่วิญญูชน หรือตามที่สาธารณชนรับรู้รับทราบ เมื่อได้อ่านคำวินิจฉัยแล้ว สิ่งที่ตนคิดจะเป็นไป อย่างที่ตนคิดหรือตนคาดการณ์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ จึงจำเป็นต้องขอคำปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์มีคุณวุฒิ ซึ่งเห็นแต่นายไพบูลย์ ซึ่งเคยพบปะพูดคุยจึงปรึกษาในบางประเด็น ส่วนปรึกษากับนักกฎหมายคนอื่นหรือไม่ตนไม่ขอเปิดเผย

ส่วนหลักฐานที่ยื่นวันนี้มีรูปภาพหรือคลิปประกอบหรือไม่นั้น นายธีรยุทธ ระบุว่า ตนจะเสนอพยานบุคคล ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าคลิปเสียง เพราะหากเป็นคลิปเสียงรูปภาพหรือวีดีโอ จากที่นายไพบูลย์แสดงความเห็นไว้ว่า คลิปเหล่านั้นหากนำมาเผยแพร่โดยที่เจ้าตัวหรือผู้เกี่ยวข้องไม่ยินยอมจะผิดกฎหมาย

ส่วนวันนี้มีการเสนอชื่อพยานในคำร้อง หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ได้แจ้งกับศาล แต่ในชั้นยื่นคำร้องยังสงวนชื่อไว้อยู่ จะเปิดเผยหลังจากนี้ โดยมีพยานประมาณ 3-4 ปาก โดยไม่มีการทาบทามพยาน เนื่องจากคดีในลักษณะนี้ปรารถนาให้เป็นพยานบริสุทธิ์ ให้ศาลมีเมตตา หากติดต่อล่วงหน้าจะทำให้พยานไม่บริสุทธิ์ ส่วนศาลจะใช้อำนาจในการสั่งให้พยานมาไต่สวนหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของศาลเอง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าปลายทางของคดีนี้คือการยุบพรรคใช่หรือไม่ นายธีรยุทธ ระบุว่า ยังไม่อาจทราบ แต่ปรารถนา แค่ว่าบริบทบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ กระทบสถาบันหลักถึง 2 สถาบันแล้ว จึงปรารถนาให้หยุดการกระทำเสียก่อน

ส่วนมีคลิปเหตุการณ์บ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วง คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้ พร้อมปฏิเสธว่า ไม่ได้ร่วมมือกับหลายคนที่ไปยื่นองค์กรอิสระก่อนหน้านี้ และตนทำของตนคนเดียว และยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง และไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด เป็นการทำงานเงียบๆอยู่คนเดียว เนื่องจากการที่มาร้องเริ่มจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งตั้งคำถามถึงความเห็นกรณียื่นคำร้อง ที่ผ่านมาเป็นเรื่องหยุมหยิมเพราะร้องทีละเรื่อง ซึ่งตนอยากให้มองเป็นจิ๊กซอ ถ้ามาผูกรวมกันจะเห็นอีกภาพ จึงกลายเป็นที่มาของคำร้องนี้ ไม่มีรับงานจากใคร เพราะตนก็ยื่นเงียบๆตั้งแต่ยื่นสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว

ส่วนจะถูกมองว่า รับงานพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายธีรยุทธ ยืนยันว่าไม่เคยพบกับพลเอกประวิตรแม้แต่ครั้งเดียว เรายังเป็นแค่คนตัวเล็กๆ แต่ได้เล่าให้นายไพบูลย์ฟังเรื่องจิ๊กซอว์ที่ตนเห็น โดยเฉพาะจากการเห็นการยุบพรรคไทยรักธรรม และพรรคก้าวไกล ซึ่งนายไพบูลย์ก็มองว่าเป็นไปได้ ขณะเดียวกันนายธีรยุทธ กล่าวว่า ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลประมาณ 2-3 เดือน

-------------------------

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า  ทั้งหมดอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ตนไม่ขอก้าวล่วง แต่ตัวนายธีรยุทธเองมีความมั่นใจมาก ส่วนที่ก่อนหน้านี้ตนออกมาระบุว่า วันที่ 10 ต.ค.จะเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายของพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น เนื่องจากตนได้พูดคุยกับนายธีรยุทธ เขาได้เล่าให้ฟังว่าได้ไปยื่นอัยการสูงสุดในเรื่องนี้ตามมาตรา 49 มาเมื่อวันที่ 24 ก.ย.67 ตนจึงออกมาบอกต่อในที่ประชุมพรรคเพื่อเป็นการแจ้งข่าว


ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วหลังจากมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อย และยืนยันว่า การที่นายธีรยุทธไปร้องครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค พปชร. และพรรคไม่ได้อยู่เบื้องหลัง โดยนายธีรยุทธเป็นทนายอิสระ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไหน เขายื่นในฐานะประชาชน ย้ำว่า ที่ตนรู้ว่าเขาจะไปยื่น เพราะเรามีการพูดคุยกันตลอด เนื่องจากตนมีคดีส่วนตัวและคดีทั่วไปที่ให้เขาดูแลอยู่


ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รู้เรื่องนี้หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า นายธีรยุทธไม่เคยเจอกับ พล.อ.ประวิตร แต่ พล.อ.ประวิตรจะรู้ก็จากที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ทั่วไปหมด ซึ่งตนก็พูดไปตามเท่าที่ทราบว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรต่าง ๆ

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้หลายคนรอว่า อาจจะมีคลิปบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือคลิปชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่สุดท้ายไม่มี นายไพบูลย์ กล่าวว่า ทราบมาว่าเขามีพยานบุคคลทั้ง 2 กรณี ทั้งบ้านจันทร์ส่องหล้าและชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีการเขียนไว้ในคำร้อง หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องก็คงมีการเชิญพยานบุคคลไปไต่สวน ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคลิปที่ผิดกฎหมาย โดยพยานดังกล่าวเป็นผู้เห็นเหตุการณ์

----------------------------
"รังสิมันต์" ย้ำจุดยืน ไม่เห็นด้วยใช้นิติสงครามยุบพรรคการเมือง หลัง"ธีรยุทธ"ยื่นศาลรธน.ทักษิณ-เพื่อไทยล้มล้างการปกครอง มองไม่แฟร์ นักร้องยื่นตัดสินพรรคการเมืองแทนคนใช้สิทธิ์เลือกตั้

วานนี้  10 ต.ค. 2567  นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า ยังไม่ดูในรายละเอียด แต่ยืนยันจุดยืนเดิมว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้นิติสงคราม แล้วยืนยันมาโดยตลอดว่าแม้จะไม่เห็นด้วย กับวิธีการบริหารประเทศในหลายๆเรื่องของพรรคเพื่อไทยแต่คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะเสื่อมศรัทธาและไม่ได้รับการสนับสนุน ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน ในประเด็นและเนื้อหาคนยังไม่ได้ดูในรายละเอียด แต่ยืนยันในจุดยืนเดิม และขอใช้โอกาสนี้ในการเรียกร้องไปยังพรรคการเมืองทุกพรรค ว่าทุกวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องพรรคการเมืองถูกยุบ และพรรคการเมืองไหนได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้พรรคการเมืองที่ก่อตั้งกันมา ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ควรที่จะตายกันง่ายๆโดยหลักการแล้ว พรรคการเมืองควรเกิดง่ายแต่ตายยาก และถ้าจะตาย ควรตายจากการเลือกของประชาชน ที่ต้องยืนให้แน่น

"นี่คือความจำเป็น ที่เราจำเป็นต้องปลดอาวุธนิติสงคราม ที่กำลังดำเนินกันไปอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ถ้าท่านยังคิดว่าเรื่องเหล่านี้ท่านทั้งหลายไม่มีความกล้าหาญในการที่จะดำเนินการ ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะปลดอาวุธนิติสงครามได้"

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ หลังจากนี้จะเป็นพรรคการเมืองไหนก็ตอบไม่ได้ แต่เชื่อว่าจะมีพรรคการเมืองต่อไปเรื่อยๆ ที่จะถูกยุบกันไปแบบนี้ แล้วพรรคการเมืองที่มีเสถียรภาพจะไปอยู่ตรงไหน

เมื่อถามว่า หนึ่งในเหตุผลที่พรรคเพื่อไทย ถูกยื่นให้ตรวจสอบว่าล้มล้างการปกครองนั้น มาจากอดีตที่พรรคเพื่อไทย เคยจับมือกับพรรคก้าวไกลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ถูกคำวินิจฉัยว่าล้มล้างการปกครองนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะเหตุการณ์ในอดีตเป็นการล้มล้างการปกครอง ต้องถามว่า ในวันนี้เราอยู่ในการเมืองการปกครองที่ถูกล้มล้างแล้วหรือไม่ วันนี้การเมืองการปกครองยังเป็นรูปแบบเดิม จึงคิดว่า พฤติการณ์ของสภาฯชุดที่แล้วไม่น่าจะเอามาผูกโยงว่าเป็นการล้มล้างการปกครองได้

"บางทีต้องคิดจริงๆว่าวันนี้จะมีบรรดา ที่ไม่รู้ว่าเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายหรือไม่ คืออาชีพนักร้อง สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นต่อไปไม่รู้จบ เมื่อเขาไม่ชอบพรรคการเมืองก็หาช่องทางในการร้อง ซึ่งสุดท้ายการเมืองแบบนี้เป็นการเมืองที่ไม่ดีเลย ไม่ดีต่อประชาชนทั้งประเทศที่ปล่อยให้คนไม่กี่คน ใช้กลไกทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ดำเนินการต่อไป จึงเกิดคำถามต่อคนที่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ที่บางคนต้องลางานและเดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้จึงต้องการความเป็นธรรม ให้คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วย



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/BJj_vArDRLc

คุณอาจสนใจ

Related News