เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 7 ต.ค.2567 ภายหลังศาลจังหวัดขอนแก่นนัดฟังคำพิพากษา คดีการทุจริตยักยอกทรัพย์สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น มูลค่ากว่า 431 ล้านบาท ซึ่งทางพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลยในคดีดังกล่าว โดยได้ใช้เวลาในห้องพิจารณาคดีกว่า 3 ชั่วโมง
ซึ่งทางจำเลย คือนาย เอกราช ช่างเหลา ได้ขอปฏิเสธคดีอาญาและกลับคำให้การ โดยยอมรับในส่วนของคดีแพ่ง แต่ศาลไม่อนุญาตเนื่องจากทางจำเลยได้มีการยืนยันรับสารภาพมาแล้วและมีการจ่ายเงินชดใช้ตั้งแต่ปี 2565-2566 ซึ่งศาลพิจารณาแล้วจึงไม่มีเหตุอันควรในการต่อสู้คดีอาญา ก่อนที่นายเอกราช ช่างเหลาจะเดินทางกลับทันที
ขณะที่นายอนุศาสตร์ สอนศิลพงศ์ ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวภายหลังออกจากห้องพิจารณาคดีว่า ในวันนี้ทางศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดฟังคำพิพากษา แต่ทางจำเลยได้ยื่นคำให้การขอปฏิเสธคดีอาญา จากรับสารภาพเพื่อสู้คดี กรณีเมื่อครั้งเป็นผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา จนทำให้สหกรณ์มียอดเงินขาดบัญชีตั้งแต่ปี 2554 – 2562 เป็นเงินจำนวน 431,826,070.43 บาท และเพื่อเป็นการปิดบังอำพรางการกระทำความผิดของตนเอง
ยังได้ทำได้ทำการปลอมแปลงรายการในเอกสารสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากประจำของสหกรณ์ และจัดทำหรือรับรองรายงานสถานะทางการเงินเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีอันเป็นความเท็จ เพื่อให้สหกรณ์และละสมาชิกหลงเชื่อว่าสหกรณ์มียอดเงินคงเหลือตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าวจริง เป็นการกระทำต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 จนถึงเดือนสิ่งหาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับแล้ว และนายเอกราชช่างเหลา ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562 แต่ทางเราไม่ยอม
ซึ่งศาลก็พิจารณาแล้วไม่อนุญาต เพราะมีการรับสารภาพมาแล้ว และมีการจ่ายเงินมาตั้งแต่ปี 65-66 และทางจำเลยได้รับสารภาพยืนยันมาแล้ว โดยทางศาลได้ถามเมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 ว่าจำเลยยังยืนรับสารภาพหรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ยืนยันที่จะรับสารภาพในวันที่ 26 มี.ค.2567 จึงไม่มีเหตุอันควรที่จะมาต่อสู้ในคดีอาญา เพราะสารภาพแล้ว จึงได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 ธ.ค.2567 เวลา 09.00 น.
ในส่วนของเงิน ทางจำเลยก็ยินดีที่จะรับผิดชอบในทางแพ่ง ซึ่งในชั้นศาลนั้นทางจำเลยได้มีการอ้างถึงกรณีจะขายที่ดินเพื่อนำเงินมาชดใช้ให้กับทางสหกรณ์ โดยหลักฐานของจำเลยที่นำมาในชั้นศาล กรณีที่มีคนมาติดต่อขอซื้อที่ดินในราคา 300 ล้านบาท ตรงนี้เราไม่อาจที่จะเห็นหลักฐานได้ เพราะเป็นในส่วนของจำเลยนำมาแถลงต่อศาลเอง จึงเป็นเรื่องของจำเลยซึ่งข้อเท็จจริงเราเองจึงไม่ทราบ และการขายที่ดินของ ป.ป.ง. เป็นเพียงข้ออ้างจำเลยที่จะหาเงินมาให้ทางสหกรณ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับในส่วนของทางสหกรณ์แต่อย่างใด
แต่หลัก ๆ แล้ววันนี้ ทางจำเลยได้ขอปฏิเสธและสู้คดีอาญา แต่ศาลไม่อนุญาตจึงนัดฟังคำพิพากษาทันทีในวันที่ 18 ธ.ค.2567 ตามกำหนดเดิม ทำให้กระบวนการย้อนกลับไป ที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้กับทางสหกรณ์เป็นระยะ และศาลนัดฟังผลการชำระเงินพร้อมนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 ธ.ค.2567 เมื่อกระบวนการกลับไปศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาทันที และในส่วนของยอดหนี้ทั้งหมดนั้น ทางด้านจำเลยได้ชำระหนี้ให้กับทางสหกรณ์มาแล้ว 100 ล้าน กับอีก 5 แสนกว่าบาท แต่ไม่ได้รวมกับในส่วนของดอกเบี้ยที่ยังคงค้างดอกเบี้ยอยู่ 19 ล้านบาท