เลือกตั้งและการเมือง

"ศิริกัญญา" แนะควรปรับลดงบประมาณ ปี 68 เหตุเศรษฐกิจเปลี่ยนไป มีแนวโน้มชะลอตัว

โดย gamonthip_s

3 ก.ย. 2567

100 views

3 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระที่ 2 แบบรายมาตรา ในมาตรา 4 ว่าด้วยงบประมาณรวม นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสียงข้างน้อย อภิปรายขอปรับลดงบประมาณลงอีกราว 2 แสนล้านบาท ให้เหลือ 3.5 ล้านบาทเศษ



นางสาวศิริกัญญา ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐวิสาหกิจถูกปรับลดไปครึ่งหนึ่งจากที่ของบประมาณมา บางหน่วยงานถูกตัดงบจนไม่เหลือเลย เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่ง ธ.ก.ส. ของบประมาณมา 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ในแผนบริหารชำระหนี้ไม่ถูกตัดงบ แต่ส่วนของแผนยุทธศาสตร์กลับถูกตัดงบประมาณลงทั้งหมด รวมแล้วรัฐวิสาหกิจที่เป็นธนาคารของรัฐ ถูกตัดงบลงไป 3.5 หมื่นล้านบาท



นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดงบของหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม ตัดลงไป 7% ในโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ ประมาณ 120 ล้านบาท, กระทรวงดิจิทัล ตัดงบประมาณของระบบเตือนภัย Cell Broadcast เนื่องจากซ้ำซ้อนกับงบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ของกระทรวงมหาดไทย ประมาณ 200 ล้านบาท



ขณะที่สำนักนายกรัฐมนตรีตัดงบงวดงาน และงบประมาณในส่วนของโครงการซอฟท์พาวเวอร์ ส่วนกระทรวงกลาโหมถูกตัดงบประมาณน้อยกว่าทุกปี



นางสาวศิริกัญญา ชี้ว่า งบบางส่วนที่ไม่ควรตัดกลับถูกตัด เช่น ธนาคารรัฐวิสาหกิจ และยังมีส่วนที่เป็นไขมันและยังรีดได้อีกมาก คือโครงการที่ซ้ำซ้อน ไม่สมเหตุสมผล ยังขาดเป้าหมายวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เช่น โครงการ Anywhere Anytime ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการถกเถียงว่าใช้งบประมาณทำแบบเรียนออนไลน์สูงเกินจริง และสุดท้ายไม่ได้ตัดงบประมาณส่วนนี้ โดยอีก 3 วันต่อไปนี้ จะมีการอภิปรายลงรายละเอียดว่ามีงบประมาณส่วนใดที่เป็นไขมันสามารถตัดออกได้อีกบ้าง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด



นางสาวศิริกัญญา ยังอธิบายเหตุผลที่จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณลง เพราะเราไม่ได้มีศักยภาพมากพอจะใช้จ่ายงบประมาณถึง 3.7 ล้านล้านบาท เนื่องจากงบประมาณ 2568 ได้ประมาณการรายได้มาตั้งแต่ธันวาคม 2566 ที่ประมาณการรายได้ไว้ถึง 2.887 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าเศรษฐกิจในปี 2567 จะโตขึ้น 3.2% แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปมาก เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัวลง



“ปี 2567 การเติบโตของเศรษฐกิจเหลือ 2.5% แล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลโดยตรง ปี 2568 ก็เช่นเดียวกัน ถูกปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจเหลือ 3.0% เท่านั้น แล้วเราจะจัดเก็บรายได้เท่าเดิมที่ประมาณการไว้คือเกือบ 2.9 ล้านล้านบาท ได้อย่างไร” นางสาวศิริกัญญากล่าว



นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง แต่ประมาณการรายได้ของปี 2568 ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเลย และเมื่อมีแนวโน้มจะจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามที่คาดหมายไว้ ยิ่งควรปรับลดงบประมาณลง ยกตัวอย่างเช่น กรมสรรพสามิต ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2567 ว่าจะจัดเก็บรายได้ 598,000 บาท แต่เก็บจริงกลับหลุดเป้าไปเกือบ 7 หมื่นล้านบาท



“เนื่องจากเรามีการปรับลดภาษีราคาน้ำมันเพื่อช่วยค่าครองชีพ และปรับภาษีรถยนต์ EV เพื่อกระตุ้นการลงทุนในรถ EV รวมถึงบุหรี่ที่ไม่สามารถเก็บภาษีได้ และพลาดเป้าไปเกือบ 1 หมื่นล้านบาท และในปี 2568 ก็ตั้งเป้าไว้อย่างท้าทายว่าจะจัดเก็บรายได้ถึง 609,700 ล้านบาท เพราะนโยบายภาษี EV ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษีบุหรี่ก็ไม่มีการปรับปรุงนโยบายแต่อย่างใด” นางสาวศิริกัญญากล่าว



ด้วยเหตุผลดังกล่าว นางสาวศิริกัญญา จึงขอปรับลดงบประมาณอีกราว 2 แสนล้านบาท ให้เหลือ 3.5 ล้านบาทเศษ เนื่องจากเพื่อความระมัดระวัง และรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ