เลือกตั้งและการเมือง
'ศรายุทธ' ยันพรรคประชาชน ตั้งสาขา-เปิดรับบริจาคถูกต้อง หลัง 'ไทยภักดี' ยื่น กกต.สอบ
โดย nattachat_c
14 ส.ค. 2567
19 views
วานนี้ 13 สิงหาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคไทยภักดี นำโดยนายทศพล พรหมเกตุ เลขาธิการพรรคไทยภักดี ยื่นหนังสือต่อกกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบการมีสาขาพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล จากระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองย้อนหลัง
โดยนายทศพล กล่าวว่า วันนี้เราขอให้กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็น ที่เกี่ยวเนื่องกับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล และพรรคประชาชน
ประเด็นที่ 1 จากการตรวจสอบข้อมูลของกกต. ณ ปัจจุบันพบว่าพรรคถิ่นกาขาวทำวิไล มีสาขาพรรคเพียง 3 สาขา คือ ภาคกลาง 2 สาขา และภาคเหนือ 1 สาขา ซึ่งอาจสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 91 (3) ที่บัญญัติว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองเมื่อภายหลังจากที่ดำเนินการครบตามมาตรา 33 (2) มีจำนวนสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขาเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี
วันนี้ ตนจึงมาขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองของกกต.ตรวจสอบฐานข้อมูลย้อนหลังว่าพรรคถิ่นกาขาวชาวิไลหรือพรรคประชาชน มีจำนวนสาขาในแต่ละปีเท่าไหร่ในแต่ละภาค ซึ่งถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2560 นับตั้งแต่พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ หากมีสาขาไม่ครบ 4 ภาค เป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะดำเนินการมีคำสั่งให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพ
ซึ่งการที่มีข้อมูลระบุว่า ปัจจุบันได้มีการอัพเดทแล้วมีสาขาพรรคครบ 4 ภาคนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่อยากให้กกต.ตรวจสอบย้อนหลังกลับไปเป็นรายปี เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ประจักษ์ชัด
---------------
ด้าน นายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่มีบุคคลและพรรคการเมือง ไปยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบพรรคประชาชนว่า มีการตั้งสาขาพรรค และการเปิดบัญชีรับเงินบริจาคที่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่
โดยชี้แจงว่า ในประเด็นเรื่องการตั้งสาขาพรรค ตามกฎหมายกำหนดว่าจะต้องตั้งให้ครบทั้ง 4 ภาคภายใน 1 ปี ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ติดตามการมีอยู่ของสาขาพรรคแต่ละพรรคโดยตลอด หากพรรคใดมีปัญหาสาขาพรรคไม่ครบถ้วน หรือมีการเปลี่ยนแปลง จะต้องมีหนังสือแจ้งเตือนจากนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ดำเนินการให้ครบถ้วนตามกฎหมาย กรณีนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักงาน กกต.จะปล่อยประเด็นนี้ให้หลุดไปได้ การที่พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นชื่อเดิมของพรรคประชาชน ดำรงความเป็นพรรคมานานกว่า 10 ปี ก็เป็นเครื่องการันตีอยู่แล้วว่าการจัดตั้งสาขาพรรคไม่มีปัญหา
ส่วนเรื่องสถานที่ตั้งสาขา นายศรายุทธ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่กฎหมายระบุว่าต้องมีที่ตั้ง แต่อาจเป็นอาคารที่ไปขอเช่า หรือบ้านกรรมการสาขาก็ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดทำการทุกวัน หากแต่เป็นสถานที่ที่กำหนดไว้เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารกับสำนักงาน กกต. อีกทั้งการจัดกิจกรรมของสาขาพรรค ไม่จำเป็นต้องทำที่ทำการสาขาพรรคเท่านั้น
ส่วนการไปถาม กกต.จังหวัดว่า มีสาขาพรรคประชาชนมาตั้งหรือไม่นั้น เป็นคำถามที่ผิด ต้องถามว่ามีพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมาตั้งสาขาหรือไม่ เพราะพรรคเพิ่งเปลี่ยนชื่อมาได้แค่ 4 วัน
ในประเด็นที่สอง เรื่องการเปิดบัญชีรับบริจาคในนามพรรคประชาชน นายศรายุทธกล่าวว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ทะเบียนนิติบุคคลเลขที่ 9/2555 มีการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อการรับบริจาคไว้นานแล้ว มีทั้งบัญชีที่วงเล็บว่าเป็นค่าบำรุง และวงเล็บว่าสำหรับการบริจาค ตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการ แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรคประชาชน แต่ก็เป็นนิติบุคคลเดียวกัน มีความสืบเนื่องของนิติบุคคล พรรคประชาชนจึงใช้บัญชีดังกล่าวในการรับเงินค่าสมาชิก และเงินบริจาค แยกคนละบัญชีตามกฎหมาย
ส่วนการเปลี่ยนชื่อบัญชีเป็นพรรคประชาชน เป็นขั้นตอนทางธุรการที่พรรคดำเนินการแล้วหลังที่ประชุมใหญ่มีมติเปลี่ยนชื่อพรรค ขณะนี้กำลังรอธนาคารอนุมัติเปลี่ยนชื่อตามขั้นตอนปกติ ซึ่งใช้เวลาหลายวันทำการ ส่วนใบเสร็จรับเงิน เป็นใบเสร็จที่ออกในนามพรรคประชาชนตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนชื่อพรรค เพราะการเปลี่ยนแปลงชื่อพรรคและข้อบังคับพรรคมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่มีมติ พรรคสามารถใช้ชื่อพรรคประชาชนได้ทันที
นอกจากนี้ การรับบริจาคผ่านผู้ให้บริการระบบการรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็เป็นเรื่องที่ กกต.เคยตอบข้อหารือทางกฎหมายเป็นหนังสือให้แก่พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล และเผยแพร่คำตอบข้อหารือผ่านเว็บไซต์ของ กกต.ไว้แล้วว่า การออกใบเสร็จต้องออกวันที่ใด และยอดเงินบริจาคต้องระบุยอดบริจาคก่อนการหักค่าธรรมเนียมของธนาคาร ค่าบริการของผู้ให้บริการบัตรเครดิต หรือผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การรับบริจาคผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
-------------
ด้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคไทยภักดี ไปยื่น กกต. ยุบพรรคประชาชน จากกรณีตั้งสาขาพรรคไม่ครบ ว่า ตนก็เชื่อว่า ทุกอย่างที่เราดำเนินการมาเป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมายแต่ในเชิงรายละเอียดหากมีประเด็นอะไรที่ต้องชี้แจงเพิ่มเติมขอให้เป็น นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค รวมถึงฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ชี้แจงน่าจะดีกว่า
เมื่อถามว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี มีการเปิดประเด็นเรื่องบัญชีที่รับโอนเงินบริจาคของพรรคถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะต้องใช้เวลาในการรับรองจาก กกต. นายพริษฐ์ กล่าวว่า การดำเนินการที่ผ่านมา เราดำเนินการด้วยความรอบคอบ เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย แต่ในรายละเอียด หากมีอะไรก็ต้องชี้แจงเพิ่มเติม ขอให้ฝ่ายเลขาทีมกฎหมายเป็นผู้ชี้แจงน่าจะแม่นยำกว่า
เมื่อถามว่าพรรคไทยภักดีออกมาบอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการไม่มีกฎหมายยุบพรรค นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ถูกพูดคุยในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ จากหลากหลายพรรคการเมืองที่มี สส.อยู่ในสภา หากจำกันได้ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีการยุบพรรคก้าวไกล ก็มีรายงานของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ที่นำเสนอในที่ประชุมให้มีการปรับปรุง พ.ร.ป.พรรคการเมือง เพื่อทำให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น เกิดง่าย อยู่ง่าย ตายยาก ซึ่งก็มีหลากหลายข้อเสนอ หนึ่งในนั้นคือการทบทวนเรื่องการยุบพรรค ซึ่งมี สส. หลายพรรคการเมืองอภิปรายสนับสนุน ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมรายชื่อของตัวแทนพรรคการเมืองพี่มีความประสงค์จะร่วมเสนอร่างแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่แนบท้ายรายงานดังกล่าว
“แต่ละพรรคการเมือง ก็มีสิทธิ์ที่จะมีความเห็นประชาชนแต่ละคนก็มีสิทธิ์ที่จะมีความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่ถ้าตามกระบวนการ ท้ายที่สุดจะถูกพิจารณาในที่ประชุมร่วมของรัฐสภา ประกอบไปด้วย สส. 500 คน สว. 200 คน ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าคุณวรงค์หรือพรรคไทยภักดี ในเมื่อไม่ได้มี สส.ในสภา ถ้าอยากจะฝากความเห็นอะไร ก็ฝากความเห็นมาทางพรรคที่มีตัวแทนจากในสภา หรือสมาชิกวุฒิสภาที่พร้อมจะรับฟังความเห็นของพรรคไทยภักดีครับ”
------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/6omu6ZJ_8W0